โค้งอันตราย ‘3 ป.’ ลับ-ลวง-ล่อ/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

โค้งอันตราย

‘3 ป.’ ลับ-ลวง-ล่อ

“รับแจ้งจากทีมงานที่เข้าไปดูเว็บใต้ดินของคนรุ่นใหม่ว่ามีการตั้งหน่วยจรยุทธ์เล่นงานตำรวจขึ้นมาแล้วทั้งต่อหน้าและลับหลัง ระมัดระวังตัวด้วย อย่าไปคนเดียว เจ็บ พิการ หรือตาย ไม่มีใครช่วยได้”

นายตำรวจใหญ่ที่กำลังจะมี “ตำแหน่งใหญ่ขึ้นอีก” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าส่ง “คำเตือน” นี้ทางไลน์ถึงตำรวจด้วยกัน

บางคนว่านั่นเป็นอาการหลอนในคืนวัน “ดินแดงเดือด” แต่ผู้สันทัดจัดเจนวิเคราะห์ว่าเป็นเจตนา “ปล่อยของ” เพื่อจุดไฟเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้าการชุมนุมทางการเมืองซึ่งมีแนวโน้มร้อนแรงขึ้น

ความจริงแล้วเป็นที่ประจักษ์ว่าผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกวันนี้รวมตัวกันอย่างหลวมๆ ไม่มีการจัดตั้งที่จริงจังและเข้มแข็ง ไม่มีทางที่จะเอาชนะ “กองกำลัง” ของรัฐที่มีการจัดระเบียบ มีวินัย มีระบบบังคับบัญชา ติดอาวุธและถือกฎหมายอยู่ในมือ

ที่กลุ่มผู้ชุมนุมทำได้ก็แค่การสัญจรไปด้วยรถจักรยานยนต์และรถยนต์ซึ่งเมื่อเจอกำแพง “ตู้คอนเทนเนอร์” ตั้งตระหง่านก็ต้องหันหลังกลับ

การจัดตั้ง “หน่วยจร์ยุทธ” ต้องมียุทธศาสตร์ใหญ่รองรับ ไม่ใช่จู่ๆ จะจัดตั้งขึ้นมาไล่เล่นงานเป้าหมายได้ ตำรวจที่จะเป็นใหญ่ ปากต้องไม่พล่อย หูต้องไม่เบา ใจต้องไม่เสาะ งานนี้มีสองทางคือ ถ้าไม่ขวัญอ่อนตีตนไปก่อนไข้ก็น่าจะมีจุดประสงค์ซ่อนเร้นมากกว่าเป็นคำเตือนเพื่อความปลอดภัย

 

วันนี้ “3 ป.” กำลังเผชิญวิกฤตความเชื่อมั่นอันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการบริหารจัดการสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะเดิมทีเดียว รัฐบาลประยุทธ์สั่งจองซื้อวัคซีน “แอสตราเซนเนก้า” เอาไว้เพียงรายเดียว ทั้งยังสั่งจองซื้อเอาไว้แค่ 26 ล้านโดส สำหรับประชากร 13 ล้านคนเท่านั้น ไม่ใช่ 50 ล้านคนที่เพียงพอต่อการเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” เพื่อสู้กับโรคในอนาคต

ต่อมาเมื่อโควิดระบาดระลอกสอง รัฐบาลจึงสั่ง “แอสตร้าเซนเนก้า” เพิ่มอีก 35 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส ซึ่งนั่นก็ยังไม่เพียงพออีก เพราะจะต้องใช้วัคซีนไม่น้อยกว่า 100 ล้านโดส

พอระบาด “ระลอกที่ 3” ยอดผู้ป่วยเพิ่มจากสิบคนเป็นหมื่นๆ คน ผู้ตายจาก 70-80 คน/ปี พุ่งพรวดเป็น 200 ชีวิต/วัน ยามเข้าตาคับขัน รัฐบาลยังสั่งวัคซีนคุณภาพต่ำมาฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนอีกจนกลายเป็นความขุ่นเคืองคับแค้น

แต่รัฐบาลเลือกที่จะเปิดศึกกับทุกคนทุกฝ่ายที่วิจารณ์ความล้มเหลว ถึงแม้ใกล้จะสิ้นเดือนสิงหาคมแล้วก็ยังคงมีคนไทยอีก 50 ล้านคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว แทบทุกคำประกาศของรัฐบาลคือสิ่งที่ทำไม่ได้ ที่ว่าจะเร่งฉีดวัคซีนให้ครบ 70 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรภายในสิ้นปีก็มีแนวโน้มต้อง “หารสอง”

ส่วนที่นายกฯ ประกาศจะเปิดประเทศภายใน 120 วัน (ครบกำหนดวันที่ 13 ตุลาคม 2564) นั้นก็น่าจะเพ้อไป

 

ความไม่พอใจของประชาชนปะทุขึ้นเกิดจากท่วงทำนองของรัฐบาล โปรยยาหอม หลอกลวง ปิดกั้น และจับกุม “เพื่อประโยชน์แห่งอำนาจรัฐ” ดังจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา รัฐบาลประยุทธ์ได้อาศัยสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินตลอดมาทั้งที่ข้อเท็จจริง “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับสถิติผู้ติดเชื้อใหม่และผู้เสียชีวิต และแทนที่จะรู้สึกสำนึกในความบกพร่องหรือด้อยประสิทธิภาพ รัฐบาลกลับใช้ “กลไกรัฐ” โดยเฉพาะตำรวจ โดยอาศัย “มาตรา 17” แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างฮึกเหิม

“พนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย – หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น”

ต้องสังเกตคำว่า “หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุ หรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น”

การปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่เข้าหลักการ-กระทำที่สุจริต-ไม่เกินสมควรแก่เหตุ-ไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น “พนักงานเจ้าหน้าที่” ยังคงมีความผิดทั้งทางอาญา และทางแพ่ง

การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจต้องอยู่ภายใต้ “รัฐธรรมนูญ” และกรอบแห่ง “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” ซึ่งต้องคำนึงถึง “ประโยชน์ของรัฐ” กับ “สิทธิเสรีภาพของบุคคล” ควบคู่กันไป ไม่ใช่แค่รับใช้นาย

“ผู้หลงผิด” จะกลายเป็นเครื่องมือให้ผู้มีอำนาจใช้กระทำ “เกินสมควรแก่เหตุ” อย่างเช่น การก่อเหตุร้ายที่น่าสะเทือนใจ

ไม่มีใครคาดคิดว่า “ไฮโซลูกนัท” หรือนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย เจ้าของธุรกิจหมื่นล้าน ผู้มีศักดิ์เป็นหลานตา “อำนวย วีรวรรณ” จะถูกตอบโต้เอาคืนอย่างรวดเร็วฉับไวชั่วพริบตาในขณะกำลังกล่าวปราศรัยกลางที่ชุมนุม รุนแรงถึงขนาดทำให้ “ลูกนัท” ต้องสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง ทั้งที่ “ยุทธวิธี” ในการต่อสู้ของผู้ชุมนุมมีเพียงแค่ “การส่งเสียง” กับ “การบีบแตร” รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับ “เจ้าพนักงานของรัฐ” ที่มีกฎหมาย ใช้เครื่องทุ่นแรง พรั่งพร้อมทั้งโซ่ตรวนและกรงขังจำกัดเสรีภาพเสรีชน

ที่เมธีเผด็จการสอนว่า “รัฐ” เหมือนสุนัขจิ้งจอกกับราชสีห์ พร้อมที่จะล่อลวงและโหดร้ายนั้นเป็นความจริง

 

ก่อนการชุมนุมขับไล่ 3 ทรราชเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 นั้น ผู้คนก็สิ้นหวังกับความดื้อด้านของ “ถนอม- ประภาส-ณรงค์” ที่ครองอำนาจมานาน

“อุทัย พิมพ์ใจชน” อดีต ส.ส.กับพวกรวม 3 คน ยื่นฟ้องจอมพลถนอมกับคณะรัฐประหาร 2514 ว่าละเมิดรัฐธรรมนูญ

แต่ “อุทัย” กับพวกกลับถูกจับขังคุกในข้อหา “กบฏ” นักศึกษาเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญถูกมหาวิทยาลัยไล่ออกและถูกจับกุม รัฐบาลกลับส่งทหาร ส่งรถถัง และใช้เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นเหนือท้องฟ้าแล้วกราดยิงใส่ผู้ชุมนุมล้มตายจำนวนมาก

สภาวะที่ฝูงชนคับแค้นก่อจลาจล ยิ่งลงมือปราบ ดูท่าเลือดจะยิ่งนองแผ่นดิน “ดุลอำนาจ” ในกองทัพบก ผกผัน หันปากกระบอกปืนกลับไปยัง “ถนอม-ประภาส-ณรงค์” ปิดฉากอำนาจ 3 ทรราช ด้วยการให้เดินทางออกนอกประเทศ

วันนี้ภายใต้การยึดครองอำนาจอย่างมียุทธศาสตร์ของ “3 ป.” ความรุนแรงกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเป็น “ขบวนการ” อีกครั้ง คล้ายการจุดไฟให้ลุกโชนก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557!?!!