คำ ผกา : เป็นสี่ขารับใช้ง่ายกว่าเป็นคน

คำ ผกา

รัฐบาลภายใต้การนำของประยุทธ์บริหารประเทศเหมือนไม่ใช่ประเทศ” โทนี่ หรือทักษิณ ชินวัตร พูดถึงการบริหารงานของประยุทธ์ จันทร์โอชา ไว้เช่นนั้น เออ…ถ้าบริหารประเทศเหมือนไม่ใช่ประเทศแล้วบริหารประเทศเหมือนอะไร?

ฉันเคยเขียนไว้ในมติชนสุดสัปดาห์นี้แหละว่า รัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้เป็นเผด็จการในความหมายของ dictatorship

แต่บริหารประเทศในระบบ “กินเมือง” ในสมัยที่เรายังอยู่ในระบบ “นครรัฐ”

การเมืองของระบบนครรัฐคือเชื่อว่า ผู้ที่ได้เป็นเจ้าครองนครนั้นถูกกำหนด หรือบัญชามาแล้ว

เช่น ตำนาน “ลาวจง” ได้ไต่บันไดเงินบันไดทองลงมาบริเวณดอยตุง สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์เรียกราชวงศ์ใหม่นี้ว่า ราชวงศ์ลาว-ลาวจังกราช ปกครองเมืองหิรัญนครเงินยาง (ปัจจุบันคืออำเภอแม่สาย เชียงราย) เป็นต้น

ทีนี้เจ้าครองนครบริหาร “เมือง” อย่างไร เจ้าครองนครบริหารเมืองผ่าน “ขุนนาง” ซึ่งเราใช้คำว่า “กินเมือง” หรือ “นั่งเมือง”

ขุนนางที่ไปนั่งเมืองนั้นก็จะเรียกว่า “เจ้าเมือง”

ทีนี้คนที่อยู่อาศัยในเมืองนั้นมีชีวิตอย่างไร ก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าในระบบนครรัฐแบบนั้นไม่มีคอนเซ็ปต์พลเมืองหรือสิทธิพลเมืองใดๆ ทั้งสิ้น

เราที่ไม่ได้ไต่บันไดเงินลงมาจุติบนโลกใบนี้ก็ล้วนแต่เป็นเศษเสี้ยวฝุ่นของจักรวาลที่บังเอิญยังใช้เวรใช้กรรมของชาติที่แล้วไม่หมด การ “จุติ” มาบนโลกนี้ของเราจึงมาเพื่อ “ใช้กรรม”

ดังนั้น ชีวิตของเราจึงถูกกำหนดมาแล้วล่วงหน้า ว่าจะทุกข์ จะสูง จะร่ำรวย จะอายุสั้น อายุยืน จะขี้โรคอ่อนแอ หรือจะแข็งแรง ล้วนแต่เป็นผลมาจาก “กรรมเก่า” ทั้งสิ้น

ดังนั้น ในคอนเซ็ปต์ของการเป็นมนุษย์ในนครรัฐโบราณเช่นนี้ จึงไม่ต้องพูดเรื่อง “คุณภาพชีวิต” หรือสุขภาพของเราก็ไม่เกี่ยวกับการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข ถ้าเราจะเป็นฝีดาษตาย หรือแม่เราเกิดจะเป็นโรคห่าตายไปตั้งแต่อายุยังไม่มากก็โปรดรู้ว่านั่นคือ “กรรม”

หน้าที่เราในฐานะที่เปิดมาเป็น “คน” จึงไม่ใช่การพยายามทำงานหนัก การต่อสู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี หรืออนาคตของลูก-หลาน

แต่มีชีวิตเพื่อชดใช้กรรม และสะสมผลบุญไว้ในมากที่สุด เพื่อชาติหน้าจะลำบากน้อยกว่านี้

หรืออาจจะใช้กรรมเก่าจนหมดแล้วไม่ต้องเกิดมาเป็น “คน” ให้ลำบากต่อไปอีก

หน้าที่เราคือ ทำบุญทำทาน น้อมนำคำสอนของพุทธศาสนา ไม่ดื้อรั้นต่อ “ผู้ปกครอง” ซึ่งมีบุญญาธิการเหนือเราอย่างไม่ต้องสงสัย

การดื้อรั้นต่อผู้ปกครองจึงเป็นทั้งบาปและเวรกรรมด้วยตัวของมันเอง และเรามีหน้าที่ตอบสนองต่อการส่งส่วย การถูกเกณฑ์แรงงานไปทำงาน ไปรบ ไปทำสงคราม ไปทำนา ไปสร้างวัด สร้างวัง ไปอุทิศแรงงานของเราไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะตาย

ส่วนขุนนาง คหบดีผู้มั่งคั่ง พ่อค้าที่ทำการค้ากับเหล่าขุนนางจนร่ำรวย มีชีวิตที่น่าอิจฉานั้น เราอธิบายได้ง่ายๆ ว่า เพราะชาติที่แล้วพวกเขาสะสมเนื้อนาบุญไว้มาก ชาตินี้เขาจึงเป็น “นาย” ของเรา และมีชีวิตที่สุขสบาย

หากชาติหน้าเราอยากสบายเหมือนเขาก็ก้มหน้าทำบุญต่อไป

“เศรษฐศาสตร์” ของการกินเมืองและนั่งเมืองนั้น เจ้าเมืองไม่ได้รับเงินเดือนจากเจ้าผู้ครองนคร และได้รับค่าตอบแทนเป็น “ไพร่พล”

ซึ่งไพร่พลเหล่านี้นำมาใช้เป็นแรงงานฟรี และหากไม่นำแรงงานมารับใช้ก็หาทรัพย์สินสิ่งของมาให้เจ้าเมือง สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า “ส่วย”

ส่วยอาจจะเป็นของป่า ไม้กฤษณา รัก ครั่ง เขากวาง ฯลฯ ที่สามารถนำไปค้าขายได้เงินได้ทอง

ดังนั้น เจ้าเมืองจึงมีรายได้จาก “อำนาจ” ไม่ใช่ “เงินเดือน” ตามตำแหน่งหรือความรับผิดชอบ

ดังนั้น เจ้าผู้ครองนครกับเจ้าเมืองจึงบริหารทรัพย์สินเหล่านี้ในฐานะพาร์ตเนอร์ แชร์ความมั่งคั่งไปด้วยกัน

ในหลายกรณีที่เจ้าเมืองสะสมอำนาจได้มากขึ้นก็อาจนำมาซึ่งการล้มอำนาจของเจ้าครองนคร ก็จะเป็นเหตุให้มีการเขียนตำนานเมือง และสร้างนิทานเรื่องการเดินทางมาจากสวรรค์กันใหม่

พร้อมกับการสถาปนาความชอบธรรมใหม่

 

ฉันคิดว่าประยุทธ์บริหารประเทศด้วยจินตนาการทางการเมืองเช่นนี้ นั่นคือ เข้าใจว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือ “เจ้าเมือง” และภาษีของประชาชนคือ “ส่วย” ทหารเกณฑ์คือไพร่สม

ส่วนประชาชนนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่ชาติที่แล้วสะสมบุญมาไม่มากพอ ชาตินี้จึงต้องประสบความทุกข์ยากลำบากไปในรูปแบบต่างๆ กัน

และในฐานะเจ้าเมืองที่มีบุญมากกว่า จึงมีหน้าที่ “บรรเทาทุกข์” ให้สัตว์ผู้ยากเหล่านี้ในฐานะที่เป็นการสะสม “บุญ” ของคนในชนชั้นปกครองอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อชาติหน้า บุญญาฯ จะมากขึ้นไปอีก

ประยุทธ์จึงไม่คิดว่าตนเองมีหน้าที่ “บริหาร” แต่มีหน้าที่ “สั่ง” ลูกน้องหรือข้าราชการให้ไปทำ “ทุกอย่าง” ให้เรียบร้อย เช่น สั่งว่า “อย่าให้เห็นอีกนะว่ามี (คนตายข้างถนนจากโควิด)”

เพราะสำหรับเจ้าเมือง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่มีคนตายเพราะโควิดหรือโรคห่า แต่ปัญหาเกิดจากมีคนมาตายให้ “เห็น”

เพราะการที่มีคนตายให้เห็นแปลว่า ลูกน้องหรือข้าราชการด้อยความสามารถในการธำรงไว้ซึ่งภาพลักษณ์ของเจ้าเมือง

และภาพลักษณ์นั้นเกี่ยวพันโดยตรงกับ “บารมี” ของเจ้าเมือง และความมั่นคงทางอำนาจของเจ้าเมือง สัมพันธ์กับ “ทาน-บารมี” ไม่ได้สัมพันธ์กับ “ความสุข ความมั่งคั่งของประชาชนในปกครอง”

จึงไม่ต้องแปลกใจที่งานหลักของกระทรวงดีอีเอสจะเป็นเรื่องการจัดการกับสิ่งที่รัฐบาลเรียกว่า fake news ซึ่งความหมายในบริบทแบบไทย fake news หมายถึง ข่าวที่ทำให้รัฐบาลดูแย่ แม้จะเป็นข้อเท็จจริง

ด้วยมโนทัศน์ที่ไม่ได้เป็นประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ แต่เป็นไพร่ในสังกัดที่มีหน้าที่ส่งส่วย เมื่อประชาชนออกมาก่อม็อบ เรียกร้องประชาธิปไตย ไล่รัฐบาล “เจ้าเมือง” จึงเห็นคนเหล่านี้เป็น “กบฏ” หรือเป็นภัยต่อความมั่นคง สิ่งเดียวที่เขาจะทำกับคนที่ลุกขึ้นมาประท้วงคือ “กำจัด” พวกนี้ให้สิ้นซาก

ไม่มีสักครั้งที่รัฐบาลจะเรียกประชาชนที่ออกไปประท้วงว่า ประชาชนผู้เรียกร้องความเป็นธรรม แต่จะเรียกว่า ประชาชนที่หลงเชื่อ fake news, ผู้ไม่ประสงค์ดีต่อรัฐบาล, ฝ่ายการเมืองที่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาลล้างสมองคนรุ่นใหม่ ฯลฯ

สำหรับฉันนี่เป็นภาวะถดถอยทางการเมืองของไทยที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่หลังปี 2475

ไม่มีครั้งไหนที่ประเทศไทยจะถอยไปสู่การเป็นนครรัฐโบราณเหมือนยังอยู่ในอาณาจักรหิรัญนครเงินยางเมื่อพันปีที่แล้ว และคนที่ออกมาสนับสนุนอำนาจของประยุทธ์ ยังใช้วาทกรรมประเภทสองเท้าที่เหยียบลงบนผืนแผ่นดินไทยคือแผ่นดินที่บรรพบุรุษต่อสู้ปกป้องมาด้วยเลือดด้วยชีวิต บลา บลา

และมันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรเลยที่รัฐบาลนี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการที่ตนเองไม่มีผลงาน เพราะเขาคิดว่าผลงานของเขาคือการ “โปรดสัตว์”

การโปรดสัตว์ คือการส่งความช่วยเหลือไปตามที่เห็นเหมาะเป็นชอบ แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการจัดการบริหารประเทศอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อรับใช้ประชาชนที่เป็นเจ้าของภาษี เจ้าของประเทศ

และที่สำคัญที่สุดคือบริหารประเทศด้วยการตระหนักว่า ตนคือ “ตัวแทน” ของประชาชน รับมอบอำนาจจากมือประชาชนมานั่งอยู่ในอำนาจนี้ชั่วคราวและต้องพิสูจน์ตนเองให้จงได้ว่า ได้ทำหน้าที่ตัวแทนของประชาชนอย่างดีที่สุด

“ประยุทธ์ยิ่งอยู่นานประเทศยิ่งเสื่อม”

ไม่มีอะไรจะจริงเท่าประโยคนี้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะประยุทธ์ไม่เก่ง ไม่ฉลาด แต่ประยุทธ์ไม่เข้าใจว่าเขาไม่ได้เป็นเจ้าเมือง

ประชาชนไม่ได้จ่ายเงินเดือนประยุทธ์ให้มานั่ง “กินเมือง” และทรีตประชาชนเป็นไพร่สมไพร่ส่วย

คนแบบประยุทธ์ต้องให้ลูก-หลานเก็บไว้ในบ้านให้ดีๆ เพราะปล่อยออกมาข้างนอกรังแต่จะสร้างความอับอายให้ลูกให้เมียไปจนถึงลูก-หลานที่กำลังจะเกิดมาในอนาคต

ส่วนข้าราชการสันดานขี้ข้า ก็ต้องเปลี่ยนประเทศให้เป็นประชาธิปไตย

เพื่อข้าราชการเหล่านี้จะเปลี่ยนจากสี่ขารับใช้มาเป็นผู้เป็นคน เป็นมนุษย์

ให้สมกับที่ออกจากท้องพ่อท้องแม่ที่เป็น “คน”