จ๋าจ๊ะ วรรณคดี : หนังเหนียว (4) / ญาดา อารัมภีร

ญาดา อารัมภีร

 

 

หนังเหนียว (4)

 

‘การฝังวัตถุไว้ในร่างกาย’ เป็นเครื่องรางของขลังอย่างหนึ่งซึ่งนิยมไม่แพ้การสักยันต์

วัตถุที่ว่ามีตั้งแต่ตะกรุด เข็ม ก้อนเหล็กไหล เพชร อัญมณีอื่นๆ เป็นต้น

ทำให้ผู้นั้นหนังเหนียว ใครจะเอาอาวุธมาทำร้าย ฟัน ฟาด แทง ยิงเท่าไรก็หาเป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่

ลักษณะการฝังวัตถุข้างต้น ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือเคยเล่าให้ฟังว่า ‘ฝัง’ ในที่นี้เป็นการเสกคาถาและคลึงวัตถุนั้นจนหายเข้าไปในเนื้อ เพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน

อาจารย์ศุภร บุนนาค เล่าไว้ใน “สมบัติกวี ขุนช้างขุนแผน”

“เชื่อกันว่าเมื่อศาสตราวุธอันใดจะมาต้องกาย ของเหล่านี้จะแล่นออกมารับไว้”

‘จีนตั๋ง’ หนึ่งในแม่ทัพลังกาในนิทานคำกลอนเรื่อง “พระอภัยมณี” แม้เป็นจีนทั้งตัวและหัวใจ สุนทรภู่ก็กำหนดให้คงกระพันชาตรีจากการฝังเพชรทั่วตัว มีทุรันหรือน้ำมันไฟเป็นอาวุธ ฟาดถูกผู้ใดจะเกิดเป็นไฟติดเต็มตัวผู้นั้น

 

“ฝ่ายองค์ท้าวจีนตั๋งนั้นฝังเพชร                        ไม่ขามเข็ดคงกระพันฟันไม่ไหว

ทั้งสองมือถือทุรันน้ำมันไฟ                              ฟาดผู้ใดไฟพิษติดเต็มกาย”

 

แม้ศรีสุวรรณ น้องชายพระอภัยมณีใช้กระบองคู่ใจเป็นอาวุธ ยังสู้จีนตั๋งไม่ไหว

 

“พระตีดังผลุงผลุงกระทุ้งแทง

ด้วยฤทธิ์เพชรเม็ดใหญ่ไม่ไหวหวาด                   มันกลับฟาดไฟพรายกระจายแสง

ถูกนิ้วมือถือกระบองก็พองแดง                         พระอ่อนแรงรอรบถอยหลบมา”

 

‘หมื่นหาญ’ พ่อตาขุนแผนก็ใช่ย่อย ฝังเครื่องรางไว้ทั่วร่าง ดังที่เสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” บรรยายว่า

 

“ผมหยิกหยักศกอกเป็นขน                               ทรหดอดทนมิใช่ชั่ว

ปลุกเสกเครื่องฝังไว้ทั้งตัว                             เป็นปมปุ่มไปทั่วทั้งกายตน

อยู่ปืนยืนยงคงอาวุธ                                      เหยียบสะดุดขวากปักก็หักป่น”

 

แสนตรีเพชรกล้า แม่ทัพเชียงใหม่มีสารพันของขลังทั้งทาว่าน อาบน้ำว่าน สักยันต์ รวมไปถึงฝังเครื่องรางต่างชนิดไว้ตามอวัยวะไม่ซ้ำกัน ดังนี้

 

“ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา

ฝังเข็มเล่มทองไว้สองไหล่                               ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้แสกหน้า

ฝังก้อนเหล็กไหลไว้อุรา                                 ข้างหลังฝังเทียนคล้าแก้วตาแมว

เป็นโปเปาปุบปิบยิบทั้งกาย                             ดูเรี่ยรายรอยร่องเป็นถ่องแถว

แต่เกิดมาอาวุธไม่พ่องแพว                              ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว”

 

จะเห็นได้ว่าแสนตรีเพชรกล้าฝังนิลไว้ที่ศีรษะ กาญจนาคพันธุ์ และนายตำรา ณ เมืองใต้ ให้ความกระจ่างไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน” ว่า

“ที่เอานิลฝังศีรษะก็เพื่อเอาเคล็ดว่าในศีรษะมีแก้วสีดำ คุณสมบัติของนิลที่นับถือกันว่าดีนั้น ก็คือเป็นเครื่องรางทำให้ศัตรูเกรงขามไม่กล้าต่อสู้ ฝังเข็มทองสองไหล่นั้นสำหรับไว้รับอาวุธ เช่นเดียวกับอินทรธนูบนบ่า ซึ่งแต่เดิมก็คือเครื่องรับอาวุธนั่นเอง การประดับเพชรที่หน้าผากทำให้เกิดอำนาจวิเศษ ไม่รู้สึกครั่นคร้ามขามเกรงศัตรู เพชรเป็นแก้วแข็งที่สุด ไม่มีอะไรเท่า มีคำเรียกในภาษาสันสกฤตว่า ‘อทม’ (อะ-ทะ-มะ) แปลว่า ข่มไม่ได้ เอาชนะไม่ได้ คือ ไม่แพ้ใครทั้งสิ้น”

 

คําถามที่ว่า ทำไมไม่สักเพชรที่แสกหน้า คำตอบของอาจารย์ศุภรในหนังสือ “สมบัติกวี ขุนช้างขุนแผน” ก็คือ

“ที่แสกหน้านั้นเขาไม่ใช้สักกัน เพราะการสักหน้าใช้เป็นการลงโทษประจาน จึงใช้ฝังทองหรือเพชรแทนพร้อมด้วยลงอาคมกำกับ”

โดยเฉพาะอกของเพชรกล้าฝังก้อนเหล็กไหล ส่วนหลังฝังเทียนคล้ากับแก้วตาแมว

อะไรคือ เทียนคล้า แก้วตาแมว?

อาจารย์ศุภร บุนนาค อธิบายว่า

“เทียนคล้า คือ คดคล้า เป็นแกนแข็งเกิดขึ้นในต้นคล้า แก้วตาแมวเป็นก้อนหินในตาแมว”

คำว่า ‘คดคล้า’ มาจากคำว่า ‘คด’ และ ‘คล้า’ รวมกัน

คด คือวัตถุแข็งคล้ายหินที่มีในสัตว์หรือต้นไม้ นับถือกันว่าเป็นเครื่องราง (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน)

คล้า คือไม้มงคลชนิดหนึ่ง

น่าสังเกตว่า ‘คด’ มีสี และรูปร่างต่างๆ กัน เรียกชื่อตามสิ่งที่มันเกิดขึ้น

สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 4 ประมวลตัวอย่าง ‘คด’ ไว้หลากหลาย

ถ้าเกิดขึ้นในสัตว์ มีตั้งแต่สัตว์เล็กไปจนถึงสัตว์ใหญ่ เช่น คดหอย คดปลาหมอ คดปลาไหล คดปลาวาฬ คดช้าง คดปลวก คดด้วง คดผึ้ง ฯลฯ

เกิดในต้นไม้ เช่น คดไม้สัก คดไม้ไผ่ ฯลฯ

เกิดในผลไม้ เช่น คดเม็ดน้อยหน่า คดเม็ดมะขาม ฯลฯ

 

กรณีของเพชรกล้า ฝัง ‘คดคล้า’ หรือ ‘เทียนคล้า’ กับแก้วตาแมวไว้ที่หลัง หนังสือ “เล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน” ให้รายละเอียดว่า

“ฝังเป็นเคล็ดหมายถึงว่าใครเข้ามาทำร้ายข้างหลังก็มองเห็นได้” จึงเป็นการฝังเครื่องรางทั้งสองเพื่อป้องกันภยันตรายที่จู่โจมมาเบื้องหลัง

ความอยู่ยงคงกระพันของเพชรกล้าเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคู่ต่อสู้ ขนาดถูกกลุ้มรุมจากขุนแผนและไพร่พลด้วยอาวุธนานาชนิดก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือน เริ่มจากที่ขุนแผนใช้ง้าวจ้วงฟันสุดแรงจนเพชรกล้าเสียหลักล้มคว่ำลงกับอานม้า

 

“แล้วยกเงื้อง้าวฟาดฉาดลงไป                            ถูกหัวไหล่ลาวล้มลงจมอาน

ตาหลอว่าคุณพ่อดิฉันเอง                                 วิ่งถลันฟันเป้งลงด้วยขวาน

ตารักว่าฉันด้วยช่วยลนลาน                              เอาพลองกระทุ้งพุงกรานให้ตกม้า

นายโห้สามหอกกรอกด้วยทวน                          เหล็กม้วนไม่เข้าตรีเพชรกล้า

ทิ้งทวนเข้าปะทะฉะด้วยพร้า                            นายปานขวานฟ้าเอาดาบฟัน

ราวกับฟาดทองแดงแทงก้อนหิน                     หักบิ่นยู่ย่นไปจนกั่น

แม้กระดูกก็ไม่หักแต่สักอัน                            คงกระพันชาตรีดีทั่วกาย

ตาหลอว่าคุณพ่อพ่อพลายขา                           อ้ายเพชรกล้าคนนี้ดีใจหาย

จะฟันแทงสักเท่าไรก็ไม่ตาย                             ยังนอนหายใจอยู่ดูพิกล”

 

ถึงตอนนี้ขุนแผนแนะวิธีร่วมด้วยช่วยกันจัดการขั้นเด็ดขาด คำว่า ‘โหด’ ยังน้อยไป

 

“เฮ้ยพวกเราเอาหลาวทะลวงก้น

ถึงมาตรแม้นอยู่ยงมันคงทน                          แยงให้จนถึงคอคงมรณา

ตาหลอกับตารักยืนหยักรั้ง                            พวยทะลึ่งตึงตังเข้าแก้ผ้า

นายโม้กับนายเม้าเอาหลาวมา                       ผ่าทวารเข้าปร๊อดตลอดตัว

หลายคนช่วยกันดันกระดอก                         เอาไม้ตอกกังกังกระทั่งหัว

หน้าเผือดเลือดแดงดังแทงวัว                        ถูกรูรั่วเลือดราดลงดาดดิน”

 

หลาวสวนทวารถึงศีรษะ  เพชรกล้าหนังเหนียวแค่ไหนก็เสร็จ