อานุภาพการทำลาย/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

อานุภาพการทำลาย

 

เสียงระเบิดจาก “หมอบุญ วนาสิน” ยังไม่ทันสงบ พลันก็ได้ยินเสียงแผดกัมปนาทขึ้นอีกครั้งจาก “คนกันเอง” ที่หมดสิ้นความอดทน

30 มิถุนายน ที่ห้องประชุมชม เทพยสุวรรณ ชั้น 5 อาคาร 5 กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค มีการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ, คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคและคณะทำงานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน อันเนื่องจากได้รับวัคซีน “ไฟเซอร์” ที่สหรัฐอเมริกาบริจาคให้ 1.5 ล้านโดส

ในชั้นแรก ที่ประชุมเห็นว่าควรจัดฉีดให้กับ 1.บุคคลอายุ 12-18 ปี 2.กลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ กับ 3.บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งสัมผัสผู้ป่วยตั้งแต่เบาจนถึงขั้นกลายเป็นศพ เสี่ยงมาก จึงควรฉีดไฟเซอร์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็น “วัคซีนเข็มสาม”

แต่มี “ผู้หนึ่ง” ที่เห็นว่า “ถ้าเอา (ไฟเซอร์) มาฉีดให้กลุ่ม 3 (บุคลากรทางการแพทย์) แสดงว่าเรายอมรับว่า Sinovac ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น”

ก่อนหน้าจะเกิด “คอมเมนต์อำมหิต” ก็มี “เผือกร้อน”!

เดือนก่อน นพ.บุญ วนาสิน ประธาน บมจ.ธนบุรีเฮลท์แคร์ กรุ๊ป เคยออกมาวิพากษ์ชัดถ้อยชัดคำไม่อ้อมค้อมว่า รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญในการระบาดทั้งสามครั้งของโควิด-19 เพราะหย่อนยานในการรักษากฎหมายและการควบคุม ซึ่งถ้าเป็นต่างประเทศ รัฐบาลลาออกไปนานแล้ว

“หมอบุญ” พยายามอธิบายถึงการกลายพันธุ์ของไวรัสว่าเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ วัคซีนจึงเป็นตัวแปรสำคัญ รัฐบาลผิดที่ชะล่าใจ ไม่สั่งวัคซีนให้พอ ทั้งที่ควรวางไทม์ไลน์ว่าฉีดให้ได้ครบ 70% ของจำนวนประชากรในเดือนสิงหาคม 2564 ถึงวันนี้สายไปแล้ว

ภัยใกล้จะถึงตัว ไวรัสกลายพันธุ์รวดเร็วมาก ติดเชื้อง่าย รุนแรงกว่าเก่า ซึ่งผลจากทดลองพบว่า วัคซีน mRNA สามารถป้องกันการระบาดและป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้ดีกว่าวัคซีนเชื้อตาย

แต่นั่นไม่ใช่เสียงที่คุ้นชินและไม่ใช่คนที่คุ้นเคย

“เสียง” วิจารณ์อันไม่พึงประสงค์จะได้ยินได้ฟังย่อมต้องลอยหายไปในสายลม!

 

ที่จริงแล้ว สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย “วิกฤตหนัก” มาตั้งแต่กลางเมษายน

กราฟผู้ติดเชื้อรายวันกับผู้เสียชีวิตทะยานสูงขึ้นตลอด 4 เดือน ระบบสาธารณสุขตกอยู่ในสภาพอ่อนเปลี้ย เหนื่อยล้า ขวัญตกและสะเทือนใจหนักขึ้นเมื่อเห็นภาพบุคลากรทางการแพทย์หญิงคนหนึ่งกำลังคลานออกจากห้องไอซียูผู้ป่วยโควิดด้วยอาการสิ้นเรี่ยวแรง

ในวันที่ 2 กรกฎาคม “หมอบุญ” ออกมาอีกครั้ง ทวงถามความคืบหน้าการเซ็นสัญญาสั่งซื้อวัคซีน “โมเดอร์นา” ด้วยเงินของผู้ยินดีกับ “วัคซีนที่เลือกเอง” ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่า “ทำไมวัคซีนไฟเซอร์กับโมเดอร์นาจึงล่าช้า ทั้งที่ประเทศแถบเอเชียได้กันเกือบทุกประเทศแล้ว ฟิลิปปินส์ได้ไฟเซอร์ไปรอบที่ 3 แล้ว 40 ล้านโดส อินโดนีเซียได้วัคซีน mRNA ไป 2 รอบแล้ว สิงคโปร์ มาเลเซียก็ได้รับไปแล้ว เหลือแต่ไทยยังไม่ได้สักโดส” พร้อมกับเปรียบว่า mRNA (ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค และโมเดอร์นา) เป็นวัคซีน “เกรด A” รองลงมาคือวัคซีนกลุ่มไวรัสเวกเตอร์ เช่น แอสตร้าเซนเนก้า และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

ส่วน “ซิโนแวค” นั้นเป็น “เกรด C” ฉีดไปก็ภูมิขึ้นน้อย และพบว่าเมื่อฉีด 2 เข็มผ่านไปได้ 4-5 สัปดาห์ ภูมิจะลดลง

หมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่อายุน้อยกว่า 60 ซึ่งฉีด “ซิโนแวค” จึงเหมือนนักรบเดียวดายไร้เสื้อเกราะ!

ตั้งแต่เมษายน หมอบุญยืนยันว่าถ้าได้ 5 ล้านโดสก็ซื้อทั้งหมด ยินดีเอาเงิน 15,000 ล้านบาทไปวางเพื่อไม่ให้องค์การเภสัชกรรมกังวลใจว่าสั่งไปแล้วไม่มีเงินจ่ายให้ แต่เมื่อได้ติดต่อสอบถามไปยังไฟเซอร์กับโมเดอร์นา กลับได้ความว่า “รัฐบาลไทยยังไม่เซ็นสัญญาสั่งซื้อ”

คำว่า “รัฐบาลไทยยังไม่เซ็นสัญญาสั่งซื้อ” เหมือนระเบิดลง!

 

คําถามจาก “บุญ วนาสิน” กลายเป็นเผือกร้อน ทำให้ “องค์การเภสัชกรรม” ต้องออกมา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรม ต้องออกมา และสำนักงานอัยการสูงสุดก็ต้องออกมา

ในระหว่างที่กำลังชุลมุนนั้นมีคนปล่อยข่าวว่า สัญญาจัดซื้อวัคซีน “โมเดอร์นา” ค้างอยู่ที่สำนักงานอัยการสูงสุดหลายเดือนแล้ว

สำนักงานอัยการสูงสุดออกมาแถลง “ปฎิเสธ” ทันท่วงทีว่า “ไม่เคยมีหน่วยงานใด องค์กรใดส่งร่างสัญญาจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นามาให้ตรวจ และที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุดก็เคยตรวจร่างสัญญาจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคให้กับองค์การเภสัชกรรมเสร็จสิ้นภายใน 1 วัน”

บ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคมนั้นเอง “องค์การเภสัชกรรม” ก็ส่งร่างสัญญาลงนามกับบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด เพื่อจัดหาและนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นาให้กับ “สำนักงานอัยการสูงสุด”

ทำไมถึงได้เป็นเช่นที่เห็น!

“ระบบราชการ” และ “วิธีคิดแบบราชการ” อันรุงรังยุ่งเหยิงอาจทำให้ไม่ได้ยินเสียงร่ำไห้ ไม่ได้เห็นหยาดน้ำตา ทั้งยังไม่ทราบว่า จะต้องตายเพิ่มขึ้นอีกวันละกี่ศพประเทศไทยจึงจะมีวัคซีนที่ดีพอและมากพอให้กับประชาชน

 

ตั้งแต่มกราคม 2563-มีนาคม 2564 ปีกว่าๆ ประเทศไทยมียอดผู้เสียชีวิตสะสมแค่ 87 คน

มีผู้ติดเชื้อใหม่ 60-70 คนต่อวัน ตายวันละ 1 คนก็ระทึกแล้ว

แต่พอถึงเดือนเมษายน 2564 “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ประกาศรวบอำนาจตามกฎหมาย 31 ฉบับมาไว้ในมือเพื่อบริหารสั่งการ “แต่ผู้เดียว”

ตั้งแต่นั้นมา จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งขึ้นเป็นจำนวนพัน กระทั่งเป็น 5,000-6,000 คนต่อวัน

ตาย 50-60 คนต่อวัน

ใครๆ ก็รู้ว่าคนที่ว่างเปล่าต้องชดเชยด้วยการอวดภูมิอวดรู้และอวดดี

วิธีคิด วิธีการทำงานแบบรวมศูนย์อำนาจนำไปสู่การมุบมิบ มืดๆ มัวๆ ไม่เปิดเผย โปร่งใส ให้ความกระจ่าง ในที่สุดก็เข้ารกเข้าพง ตัดสินใจผิดพลาดทั้งการเลือกชนิดวัคซีนและการจัดหาวัคซีนให้เพียงพอ

ความเจ็บความตายที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้เกิดจาก “ฝีมือ” ล้วนๆ!?!!