เสียชาติเกิด | คำ ผกา

คำ ผกา

สลิ่มเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉันเข้าใจไม่ได้จริงๆ

ถามว่าสลิ่มถือกำเนิดมาอย่างไร

มันชัดเจนว่าสลิ่มคือผลผลิตโดยตรงของฝ่าย “ต่อต้านประชาธิปไตย” ที่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงสิบหรือแม้แต่ยี่สิบปีที่ผ่านมา

หากเรามองพัฒนาการของการเมืองไทยสมัยใหม่ เราจะเห็นว่านับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีกลุ่มชนชั้นนำและกลุ่มอำนาจเดิมที่มองว่า การเปลี่ยนแปลงนี้คุกคามอำนาจและผลประโยชน์ของตนเอง

พูดง่ายๆ ว่าพวกเขาทำใจไม่ได้ที่เห็นไพร่กลายเป็นพลเมืองเจ้าของประเทศ

การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจของสองฝ่ายในเมืองไทยจึงดำเนินมาตลอดประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่

ถามว่าใครชนะ?

 

คําตอบคือแม้ประเทศไทยในตัวบทกฎหมายจะเขียนว่าปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่หากเราดูว่า คณะราษฎรและการปฏิวัติสยามถูกจดจำอย่างไรในประวัติศาสตร์กระแสหลัก ก็ต้องบอกว่า ฝ่ายอำนาจเก่าเป็นผู้กำชัยชนะ

ในทางการเมือง เขาปล่อยให้เราอยู่ในระบบที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”

ในเชิงวัฒนธรรม อุดมการณ์ เขาสามารถสร้างชุดความคิดที่ฉันจะเรียกว่า “ความเป็นไทยกระแสหลัก” ที่เมื่อเจาะดูในเนื้อหาแล้ว ล้วนแต่เป็นภัยต่อแนวคิดประชาธิปไตยทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด เผด็จการโดยธรรม แนวคิดธรรมาธิปไตย แนวคิดที่ว่า ประชาธิปไตยคือการปกครองแบบพวกมากลากไป หากสังคมมีโจรห้าร้อยคน มีคนดีห้าคน และเราใช้หลักการประชาธิปไตยก็เท่ากับว่าเราจะถูกปกครองโดยโจร

ดังนั้น ระหว่างประชาธิปไตยโดยโจรห้าร้อย กับการอยู่ภายใต้เผด็จการที่เป็น “คนดี” การอยู่ภายใต้เผด็จการที่เป็น “คนดี” ย่อมดีกว่า

แนวคิดนี้มาพร้อมกับการทำให้คนไทยเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของการแสวหาผลประโยชน์ของนักการเมือง นักการเมืองเป็นคนชั่ว

ดังนั้น ไทยจะมีนักการเมืองก็ได้ แต่ต้องมี “คนดี” มาคอยกำกับดูแลนักการเมือง

สันดานสลิ่มไทยจึงเป็นแบบนี้ คือไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีในตัวเอง และไม่เชื่อใน solidarity ของการเป็นประชาชาชนด้วยกันกับเพื่อนประชาชน

แต่หลงใหลใฝ่ฝันอยากเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องของชนชั้นนำ อยากเลียหน้าเขา อยากให้เขาลูบหัวลูบหลังชมว่าเธอช่างเป็นเด็กดี

สันดานสลิ่มคือพร้อมทำทุกอย่างเหมือนหมาที่อยากให้เจ้าของรัก อยากให้เจ้าของเห็นหัว และอยากเป็นที่รักมากกว่าหมาตัวอื่นๆ ในคอกเดียวกัน

สิ่งเดียวที่สลิ่มไม่อยากเป็นคือเป็นคนเต็มคน

ความฝันสูงสุดของสลิ่มคือการได้เป็น “ขี้ข้า” แถวหน้า

เพื่อจะได้เป็นขี้ข้าแถวหน้า สลิ่มจึงอุทิศตนและมีวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวันตามที่ “ความเป็นไทยกระแสหลัก” สอนให้เป็น

ตั้งแต่การเป็นศาสนิกที่ดี เข้าวัด ไปโบสถ์ ทำบุญ ทำทานเอาหน้า

การแชร์คลิปคำคมของหลวงพ่อ หลวงปู่ หรือพระสงฆ์องค์เจ้าจึงเป็นสิ่งที่สลิ่มโปรดปรานมาก

และยิ่งในยุคโซเชียลมีเดีย สลิ่มยิ่งชอบโชว์ชอบอวดว่าตนนั้นเป็น “สายวัด” เพราะสลิ่มเข้าใจว่าการเป็น “สายวัด” คือสุดยอดแห่งวัดผลว่าใครคือคนดีตามบรรทัดฐานของความเป็นไทยกระแสหลัก

ถัดจากการแชร์คลิปธรรมมะหรืออวดว่าตัวเองไปทำบุญ ฟังธรรมอะไรมาบ้าง สลิ่มก็จะแข่งกันโชว์ความดีตามที่วัฒนธรรมไทยกระแสหลักสอน

ตั้งแต่รักชาติยิ่งชีพ กตัญญูกตเวทิตา อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เชื่อหมออย่าเชื่อหมา การมีวาจาไพเราะ การทำทาน ตู้ปันสุข

สลิ่มจะเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า ความจนเกิดจากความขี้เกียจ ไม่ได้เกิดจากความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างหรือการเมืองที่ไม่เป็นธรรม

สลิ่มจะเกลียดนักการเมืองเข้าไส้ และสลิ่มจะท่องคำพูดซ้ำๆ ซากๆ เช่น นักการเมืองโกง แต่สลิ่มจะไม่คิดต่อว่า หากประชาธิปไตยเข้มแข็ง ประชาชนเข้มแข็งขึ้น อำนาจการตรวจสอบ ถ่วงดุลทำงานได้ดีขึ้น นักการเมืองถูกกดดัน และถูกระบบบีบให้คอร์รัปชั่นยากขึ้น วันหนึ่ง การคอร์รัปชั่นก็จะน้อยลง

ไม่ใช่น้อยลงเพราะนักการเมืองเป็นคนดี แต่น้อยลงเพราะเรามีระบบที่อนุญาตให้คนทำชั่วยากและไม่คุ้มค่าที่จะทำ

ตรงกันข้าม สลิ่มจะเชียร์การรัฐประหารและเชื่ออย่างหมดจิตหมดใจว่า ผู้นำเผด็จการคือ พระผู้ไถ่ เขาเสียสละตัวเองมากอบกู้ประเทศชาติและประชาชน

เขาอาจทำงานไม่เก่งแต่เขาไม่โกง นักการเมืองรอบตัวเขาต่างหากที่โกง

เขาแปดเปื้อนเพราะผู้คนที่แวดล้อมเขา แต่เขาช่างเป็นคนดีและเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้พวกเราสุขสบาย

สลิ่มคิดไม่ได้ว่า ผู้นำที่รัฐประหารคนอื่นมาสู่อำนาจนั้นสถาปนาการเมืองที่ตรวจสอบไม่ได้ เมื่อตรวจสอบไม่ได้ก็ไม่รู้ว่ามีการคอร์รัปชั่นแค่ไหนอย่างไร

มิหนำซ้ำองค์กรอิสระยังถูกครอบงำจากอำนาจเผด็จการ

และสุดท้าย ทั้งกลไกรัฐสภา องค์กรอิสระ อำนาจเผด็จการต่างก็ค้ำจุนกันไปมา มีกลไกราชการทำงานให้อย่างเต็มใจ

เพราะระบบเช่นนี้ทำให้ข้าราชการคอร์รัปชั่นได้ไม่อั้น อู้งานได้ไม่มีที่สิ้นสุด และเปลี่ยนบทบาทจากการทำงานเพื่อประชาชนมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประจบสอพลอนาย

ทีนี้เมื่อมีเพื่อนร่วมชาติที่เขาไม่อยากเป็นขี้ข้าแต่อยากอยู่ในสังคมที่คนเท่ากัน และคนคือพลเมืองของรัฐเป็นเจ้าของหน่วยการเมืองที่เรียกว่าประเทศชาตินี้ร่วมกัน

นั่นแปลว่า เราต้องการประชาธิปไตยในการ “รัน” ประเทศ

คำว่าประชาธิปไตยหมายถึง เราเลือกผู้แทนราษฎรไปทำงานแทนเรา ไปเป็นปากเป็นเสีย ไปออกกฎหมายหรือคัดค้านกฎหมายแทนเรา

ผู้แทนฯ ของเราอาจจะไม่เพอร์เฟ็กต์ ดีๆ ชั่วๆ แต่เราจะเลือกใหม่ทุกๆ 4 ปี

ทุกครั้งที่เลือกเราอาจจะฉลาดขึ้น หรืออาจจะโง่ลง แต่อย่างน้อยเราก็เลือกเอง รับผิดชอบเอง

ดังนั้น ประชาธิปไตยจึงมักดีๆ ชั่วๆ ดีบ้าง พลาดเสียเยอะ

ทว่าโดยกาละและเวลา ประชาชนจะค่อยๆ เข้มแข็ง

และสิ่งสำคัญที่สุดคือ เราจะเป็นประชาชนที่มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เป็นแค่หมาที่มีเจ้าของ หรือเกิดมาเพื่อเป็นขี้ข้าที่ดีที่สุดของใคร

เมื่อมีคนในสังคมคิดแบบนี้ “สลิ่ม” จะดิ้นทุรนทุราย

เพราะสลิ่มถูกติดตั้งความคิดไว้ในสมองว่า ประชาธิปไตยคือพวกมากลากไป คือโจรซึ่งมีมากกว่าคนดีจะครองเมือง

อีพวกคนชั่ว หยาบคาย ไม่มีศาสนา ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจะครองเมือง จะเหยียบย่ำวัฒนธรรม ธรรมะของเรา และจะทำร้าย “คนดี” ที่เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง

และสันดานสลิ่มก็อยากทำผลงานโชว์เจ้านายอยู่แล้ว สลิ่มที่ชอบแชร์ธรรมะ หรือคำพระสอนก็พร้อมจะทิ้งทุกธรรมะเข้าทำร้ายและทำลายคนที่บอกว่า มาเปลี่ยนสังคมขี้ข้าให้เป็นสังคมที่คนเท่ากัน

สลิ่มจึงเป็นทั้งความเขลา เป็นอวิชชา และเป็นอัตตาของผู้ไม่ยอมรับในความเขลาของตนเอง

เปรียบเหมือนคนที่กินขี้อยู่แล้วมีคนบอกว่า กินข้าวเถอะ มันดีกว่า นอกจากจะไม่เลิกกินขี้ยังโกรธคนที่ชวนกินข้าว

ที่โกรธนั้นไม่ใช่อะไรเลย นอกจากเสียฟอร์ม เสียหน้า เลยพยายามแถว่า ขี้นี่แหละดีกว่าข้าว ฉันฉลาดไง ฉันเลยเลือกกินขี้

คนอย่างฉันยอมกินขี้ดีกว่าให้คนรู้ว่าโง่

สลิ่มที่ร่ำรวยนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไร เพราะคงไม่เดือดร้อน แต่สลิ่มที่ไม่ใช่ผู้มีอันจะกิน เสี่ยงต่อการตกงาน กิจการล้มละลาย บางคนไม่ได้เสี่ยงที่จะตกงาน แต่ตกงานไปแล้วเรียบร้อย ก็ยังจะดันทุรังเป็นสลิ่ม และทำตัวเป็นขี้ข้าที่แสนดี

สำหรับสลิ่มจำพวกนี้ ฉันก็ได้แต่เวทนา และอยากรู้ว่าในวันที่เขาสิ้นเนื้อประดาตัวจากภาวะเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้ พวกเขาจะอธิบายให้ตัวเองฟังว่าอย่างไรเกี่ยวกับชะตากรรมของตนเอง

ปลายทางของสลิ่มนั้นน่าเวทนานัก ฉันนั่งดูคลิปที่คนห้อมล้อมนายกฯ แล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก คิกคักกับความ “น่ารัก” ของนายกฯ แล้วได้อดสูว่า สลิ่มนั้นไม่เพียงแต่ไม่อยากเป็นคนเต็มคน แต่ยังสามารถขายวิญญาณแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับหมาที่ไม่มีสมองมากนัก เพราะชีวิตนี้ต้องการเพียงแค่การสอพลอผู้เป็นนายอย่างไร้เงื่อนไข

สูงสุดแห่งเกียรติยศที่อยากมีคือการเป็นหมาตัวโปรดเท่านั้น

และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเข้าใจสำนวนที่ว่า “เสียชาติเกิด” อย่างลึกซึ้ง

และนี่คือเหตุผลที่ฉันทั้งโกรธ ทั้งเวทนาสลิ่มไปพร้อมๆ กัน