สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร / “ภูมิคุ้มกัน”ขึ้นหรือลด

สถานีคิดเลขที่ 12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

————————-

“ภูมิคุ้มกัน”ขึ้นหรือลด

————————-

ตั้งคำถาม เล่นๆ

ระหว่าง การยืนแถลงข่าว ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ขอโทษ ที่ทำให้ใครไม่สบายใจ” อย่างนุ่มนวล ประนีประนอม

กับระหว่าง การยืนชี้แจง ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ระหว่างการพิจารณพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน อย่างดุเดือด และมากด้วยความไม่พอใจ ที่เห็นว่าส.ส.มาไล่กันอย่างกับหมูกับหมา

อันไหนเป็น “บุคลิกที่แท้จริง”ของ พล.อ.ประยุทธ์

เชื่อว่า คำตอบ ส่วนใหญ่ น่าจะออกมาที่บุคลิกอันหลังที่เป็นดั่ง น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว สรุปไว้คือ”ปี๊ดแตก”มากกว่า

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตุว่า แม้จะมีบุคลิคแท้จริงดังว่า

แต่พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่สามารถแสดงบุคลิคเช่นนั้นได้บ่อย และจำต้องน้อยลงทุกที

แตกต่างจากตอนที่ “ยึดอำนาจใหม่ๆ”ที่ตอนนั้นจะดุเดือด เด็ดขาด อย่างไรก็ได้

ถึงตอนนี้ จะมีอำนาจ ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินแก้ปัญหาโควิด-19 ที่รวบเอาอำนาจจากรัฐมนตรีต่างๆ โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มาไว้ในมือของตนเองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ตาม

แต่ ก็ไม่อาจใช้ความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น “บริหารการเมือง”ได้

ยิ่งกว่านั้น เหล่าหนูๆ ทั้งหลายในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ยังท้าทายด้วยการเล่นเกม “อภิปรายดังราชสีห์ ลงมติดังหนู”ยั่วให้ปี๊ดแตก ทั้งในการพิจารณางบปี 2565 และทั้งพ.ร.ก.กู้ 5 แสนล้าน

ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่รู้สึกรู้สาหรือ

ไม่อย่างแน่นอน

เพียงแต่สถานการณ์ ตอนนี้ ต่างฝ่ายต่างยัง “สมประโยชน์” ทางการเมืองอยู่ จึงยังไม่อาจจะแตกหักกันได้

ต้อง”เตี้ยอุ้มค่อม”กันต่อไป

ยิ่งพล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่คิดหรือยังไม่มีท่าที ที่จะถอยออกจากการเมือง ยิ่งต้องคุมท่าทีตัวเอง หากไม่เหลืออดจริงๆ ก็ต้องพยายามไม่ปี๊ดแตก

แถมยังต้องเล่นบทที่ไม่ใช่บุคลิกตนเองมากขึ้น คือ ต้องประนีประนอม ยืดหยุ่น ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

คือ นอกจากจะยับยั้งใจไม่ “ขย้ำ”เหล่าหนู-หนู แล้ว

ยังต้องออกมาเรียกร้อง ให้เหล่ารัฐมนตรีที่ร่วมรัฐนาวาลำนี้ เร่งทำผลงานให้เป็น รูปธรรม ภายใน 1 ปี

ซึ่ง ดูตามไทม์ไลน์การเมือง ก็ไม่น่าแปลกใจที่ต้องเรียกร้องดังกล่าว ด้วย วาระของรัฐบาลเหลือไม่ถึง 2 ปี

และเวลาไม่ถึง 2 ปีนี้ ก็ยังมากมายด้วยความแปรปรวน

“อุบัติเหตุการเมือง”เกิดได้อยู่ตลอดเวลา

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการพูดถึงเรื่อง “ยุบสภา”อย่างหนาหูมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ การจะดำรงอยู่ในอำนาจต่อไป จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก ลงสู่สนามเลือกตั้ง

ที่แม้พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ลงไปลุยโคลนเอง แต่ก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะชี้ขาดผลในการเลือกตั้ง

จะไปชี้นิ้วสั่ง หรือพึ่งพาอำนาจแฝงจากการรัฐประหารเหมือนเดิมไม่ได้

ต้องอาศัย “ศรัทธา”ของชาวบ้านเป็นปัจจัยหลัก

แต่ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์รู้ดีว่า “วิกฤตจากโรคระบาดโควิด19” ได้นำไปสู่”วิกฤตศรัทธา”ต่อตนเอง และรัฐบาลอย่างไร

จำเป็นต้องกอบกู้ศรัทธากลับมาด่วน

เราถึงได้เห็น การขอโทษ ขออภัย ออกมาจากปากของผู้นำ แม้ลึกๆจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของผู้นำนัก

แต่ก็คงไม่มีทางเลือก เพราะนี่คือ”วัคซีน”ชั้นดึที่จะสร้างภูมิคุ้มกันทางการเมืองให้กับตนเอง

ภายใต้ความหวังว่า ชาวบ้านจะเห็นใจ และให้อภัย

ดีกว่าไปดื้อดึงว่า ตนเองทำดีแล้ว ถูกต้องแล้ว เพราะผลงานที่ออกมาก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า เป็นอย่างไร

คาดหมายว่าหลังจากนี้ ชาวบ้านคงได้ยิน คำขอโทษ ขออภัย ถี่ขึ้น

ซึ่งก็ต้องติดตามว่า ชาวบ้านจะให้อภัย

และทำให้ภูมิคุ้มกันทางการเมือง เพิ่มขึ้นหรือไม่