“อํานาจ” มายา “เมา” “บ้า” “เสื่อม”/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

“อํานาจ” มายา “เมา” “บ้า” “เสื่อม”

 

“อํานาจ” มีมายา เสพตอนแรกๆ “เคลิ้ม” สักพัก “เมา” นานๆ เข้า “บ้า” สุดท้าย “เสื่อม” วันที่ 22 พฤษภาคม เวียนมาบรรจบ โลกหมุนครบ 7 ปีแห่งการปฏิวัติ-ยึดอำนาจของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ล้มกระดานรัฐบาลพลเรือน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” พังพาบเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

พี่น้อง “3 ป.” ผู้ยิ่งใหญ่จาก คสช. 7 ปีจากจุดเริ่มต้นของการยึดอำนาจ ทั้งกำกับ เล่น แสดงกันเองทั้งเรื่อง เหมาหมดทุกบท พระเอก นางเอก เทวดา ผู้ร้าย คนใช้ ตัวตลก

จากปี 2557 ถึง พ.ศ.ปัจจุบัน “อำนาจ” ที่ได้มาจากความไม่ชอบธรรม ค่อยๆ บุบสลาย ไม่มีความยืนยง เสื่อมทรุดไปตามกาลเวลา

ถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่า กระแสนิยมที่มีต่อรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” ที่เคยขมังเวทย์ ตกต่ำค่อนข้างสูงและหนักมาก

เหล่ากองเชียร์ที่ยึดโยงเอาความเชื่อเหนือหลักการอย่างน่าประหลาดใจ แล้วนิยาม “ในความรู้สึกของพวกเขาว่าคนดี” ย่อมทำดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะขัดหลักกฎหมาย คนอื่นมองว่าไม่ดี ก็มักไม่เชื่อ จะถูกด่าถูกแขวะ ว่าเป็นคนไม่ดี ที่ไปมอง “คนดี” ของเขา เป็นคนไม่ดี

ตอนนี้ตื่นจากหลับใหลในฝันนิรันดร ตาสว่าง สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดผ่าน นกบินกลับรัง หอบเอาความรู้สึกใหม่ เอาสิ่งที่เห็นไม่ตรงกัน เอาความต่างทางความคิด มาเป็นปัจจัยแสวงหาคำนิยามของ “คนดี” กันใหม่

ในวาระครองอำนาจครบ 7 ปี จึงเกิดมหกรรม “ร่วมลงแขก” ไม่มีขาว-ดำ ไม่มีเหลือง-แดง กระแสไล่ “บิ๊กตู่” ลุกพรึบ ทุกสีเสื้อ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน อย่าประมาท และ “เหลิง” ว่าตัวเองมีอำนาจ สามารถกดปุ่มจัดการได้เช่นเดิม

จับสัญญาณเมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่บริเวณสวนสันติพร อนุสรณ์พฤษภาประชาธรรม ถนนราชดำเนิน มีการชุมนุมพร้อมเวทีสัมมนาของกลุ่ม “ไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย”

แตะมือกันแบบหลวมๆ ของมวลชนหลายกลุ่มหลายร้อยคน ภายใต้รหัส “444” วันที่ 4 เดือน 4 เวลาปฏิบัติการ 4 โมงเย็น

รวมมิตรหลอมรวมเข้าด้วยกัน นำโดย “จตุพร พรหมพันธุ์” ประธาน นปช. “นายพิภพ ธงไชย” อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขับไล่รัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ขับไล่รัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช”

“อดุลย์ เขียวบริบูรณ์” ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 ตามด้วย “นายวีระ สมความคิด” ประธานกลุ่มพิทักษ์เสรีภาพประชาชน และเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น

“ไทกร พลสุวรรณ” อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ อดีตแกนนำขบวนการอีสานกู้ชาติ แนวร่วม พธม.ต่อต้านระบอบทักษิณ” และหรือ “การุณ ใสงาม” อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ แนวร่วม พธม.ขับไล่รัฐบาล “สมัคร” และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์”

ปฏิญาณตนลืมอดีต ร่วมภารกิจเดียวกัน ยื่นข้อเสนอ เรียกร้องขับไล่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก้าวลงจากศูนย์อำนาจ แบบไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่ลาออกจะเคลื่อนไหวกดดันคู่ขนาน 2 ทาง หนึ่ง คือระดมมวลชนทุกภาคส่วนออกมาขับไล่ให้ลาออก สอง ยื่นหนังสือให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว

แม้แกนนำของผู้ชุมนุมจะล้วนแต่ขาเก่าๆ แต่เป็นการรวมหมู่ของคนหลากสี ผิดกับทุกครั้ง และอย่าลืมเป็นอันขาดว่า ระยะหลังๆ “จตุพร” และแกนนำเสื้อแดงเก่า กลับมามีสายสัมพันธ์ลึกๆ มีการนัดพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ “เพื่อนอานันท์” และ “ภิภพ “ดังที่ตกเป็นข่าวอยู่เนืองๆ

การเคลื่อนไหวเปิดหน้าชนของ “ไทยไม่ทนฯ” ที่น่าจะเรียกแขกได้มากพอสมควร แต่ถือว่าโชคช่วยรัฐบาล “บิ๊กตู่” ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อม็อบรวมศูนย์ เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โจมตีรอบที่ 3 พอดิบพอดี ทำให้การชุมนุมต้องพับฐาน พักรบไปโดยปริยาย

 

ท่ามกลางความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบที่ 3 แนวร่วมไล่ “ประยุทธ์” ขยายตัวเพิ่ม ไม่จำกัดวงแค่ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น “คนกันเอง” เรียงหน้าเดินมาอีกกลุ่ม เป็นอดีต กปปส.-นกหวีดเก่า นำทัพโดย “นายนิติธร ล้ำเหลือ” หรือ “ทนายนกเขา”, “นายปรีดา เตียสุวรรณ์” ประธานบริษัทแพรนด้า จิวเวลรี่ “นายพิชิต ไชยมงคบ” อดีตโฆษกเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ในนาม “กลุ่มประชาชนคนไทย” ออกมาดับเครื่องชนอีกกลุ่ม เรียกร้องให้รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เสียสละด้วยการลาออก

เปิดทางสะดวกให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” เข้ามาแก้วิกฤตบ้านเมือง พร้อมเสนอทางเลือก “นายกฯ คนนอก” มากู้วิกฤต

จะเห็นได้ว่า แนวทางของ “กลุ่มไทยไม่ทนฯ” ที่มี “จตุพร” เป็นโต้โผ “กลุ่มประชาชนคนไทย” ที่มี “ทนายนกเขา” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน มีจุดมุ่งหมายโฟกัสไปทิศทางเดียวกันคือ “พล.อ.ประยุทธ์” ลาออก

จะมีความต่างกันเล็กๆ น้อยๆ ในรายละเอียด “นายกฯ คนนอก” และที่เหนือสิ่งอื่นใด ทุกกลุ่มเมื่อลากลายแทง พบว่ามีจุดเชื่อมโยงถึงกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และข้อเสนอ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากของ “กลุ่มราษฎร” ที่ยุติศึกไปเป็นการชั่วคราวก่อนหน้านี้

ขณะที่ดีกรีความร้อนแรงกลุ่มไล่รัฐบาล “บิ๊กตู่” มีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำกัดอยู่แค่ฝ่ายตรงข้าม แม้แต่ “คนเคยกันเอง” ยังออกโรงมาเต็ม ขณะเดียวกันความล้มเหลวในการแก้วิกฤตโควิด-19 ยิ่งงานงอก น้ำลดตอผุด มีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยอดผู้ป่วยเพิ่มรายวัน พุ่งสูงทะลุหลักแสน

การบริหารการฉีดวัคซีน คุณภาพต่ำมากอยู่ในลำดับท้ายๆ ของโลก สะท้อนให้เห็นความล้มเหลว มีความล่าช้า จนคนไทยต้องตกอยู่ในสภาพคนหลังเขา ภาพอัปยศคนจนขายบัตรคิวให้คนรวย เพื่อเอาเศษเงินเพียงเล็กน้อยไปประทังชีวิต เมื่อติดโควิด-19 แล้วหาโรงพยาบาล หาเตียงรักษาไม่ได้ เสียชีวิตแล้ว เมรุจะเผา ป่าช้าจะฝังกระดูกยังไม่มี ยุคนี้ ประเทศไทยสับปะรังเคสิ้นดี ทั้งหลายทั้งปวงคือ นางกวักเรียกแขก มาร่วมวงไพบูลย์ไล่รัฐบาลมากขึ้น

ภาพลักษณ์ด้านการเมืองก็ย่ำแย่ รอยร้าวระหว่าง “บิ๊กตู่” กับ “พรรคภูมิใจไทย” ถ้าไม่มีโควิด-19 มาคั่นรายการ น่าจะถึงจุดแตกหัก

ด้านเศรษฐกิจก็บุโรทั่งหนัก มีการนำยอดเงินกู้รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” ตั้งแต่ก่อรัฐประหารเมื่อปี 2557 เป็นต้น เพดานเพิ่มปีละนิดจาก 2.5 แสนล้านบาทเมื่อปี 2558 เป็น 3.9 แสนล้านบาทในปี 2559, 5.5 แสนล้านบาท ในปี 2560 รวมศิโรราบ 7 ปีที่บริหารยอดเงินกู้ของรัฐบาล “ตู่” ทะลุ 5 ล้านล้านบาท

สรุป “7 ปีประยุทธ์ทรุดหนัก”