ของดีมีอยู่ : “เปิดไฟให้ความหวัง” / ปราปต์ บุนปาน

ภาพโดย : ธนศักดิ์ ธรรมบุตร

ของดีมีอยู่

ปราปต์ บุนปาน

 

ท่ามกลางภาวะที่ประชาชนจำนวนมากเกิดความรู้สึก “ไม่เชื่อมั่น” กับผู้มีอำนาจในรัฐบาล ผ่านปรากฏการณ์หลายเรื่อง โดยเฉพาะการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่มีวี่แววกระเตื้องขึ้น และความสงสัยในประสิทธิภาพของวัคซีนที่ภาครัฐจัดหามาได้

อยากจะขอตัดฉากพาผู้อ่านไปสัมผัสกับเนื้อหาคำปราศรัยบางส่วนของ “มายด์-ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล” หนึ่งในแกนนำ “คณะราษฎร 2563” ในกิจกรรม “เปิดไฟให้ดาว” ณ สกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม

เพื่อให้เปรียบเทียบว่าการดำเนินชีวิตอย่าง “มีความหวัง” และ “หมดหวัง” หรือการสื่อสารเพื่อ “ก่อให้เกิดความหวัง” และ “บั่นทอนความหวัง” นั้นแตกต่างกันอย่างไร

“อยากจะบอกทุกคนอย่างนี้ค่ะว่า ทุกๆ การต่อสู้ ‘ความหวัง’ เป็นแรงขับสำคัญในการขับเคลื่อนไป แล้วถึงแม้ว่าความหวังตอนนี้มันจะริบหรี่ อยากให้ทุกคนมองไปรอบตัวเราให้ดีๆ ค่ะ มองไปรอบข้างเราว่าในตอนนี้สังคมมันเปลี่ยนไปขนาดไหน มันแตกต่างจากเมื่อก่อนที่เราเคยอยู่ขนาดไหน

“ณ วันนี้ หนูว่าเราได้เห็นความหวังเล็กๆ แบบย่อยๆ อยู่รอบตัวเราเต็มไปหมดเลย ความหวังนั้นมาในรูปแบบของการตื่นตัวทางการเมือง มาในรูปแบบของการกล้าแสดงออกที่จะพูดถึงปัญหาทางการเมือง มาพร้อมกับการกล้าที่จะแสดงออกว่าในฐานะประชาชน เราต้องการจะออกมาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง มันถึงเวลาแล้ว นี่คือความหวังย่อยๆ ที่เราเห็นรอบตัวเราค่ะ

“ซึ่งหนูมองว่านี่สำคัญมากนะคะ นี่สำคัญมาก แล้วเรื่องหนึ่งที่เราควรจะต้องจำกันไว้ให้ดีก็คือ ความหวังมันอยู่กับเราเสมอค่ะ ถึงแม้มันจะเป็นความหวังย่อยๆ แต่ถ้าหากเรารวมตัวกัน เรารวมให้มันเป็นความหวังที่มันใหญ่กว่านี้ได้ ที่มันส่องสว่างได้เจิดจ้ากว่านี้ได้

“และหนูเชื่อมั่นเลยว่าแสงสว่างที่มันเจิดจ้าจากความหวังของพวกเราทุกคนที่รวมกันนั้น มันจะนำไปสู่ชัยชนะแห่งการเปลี่ยนแปลง…”

 

“กิจกรรมในวันนี้ก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ได้ดีมาก โคมไฟที่เราจุดพร้อมกันทุกดวง ดวงดาวที่เราได้ส่องแสงให้มันในวันนี้ มันคือสัญลักษณ์ที่คอยบอกเราและย้ำเตือนเราทุกคนว่าความหวังมันอยู่กับเราทุกคนเสมอ และมันจะไม่มีวันหายไปไหน

“ถึงแม้ว่ามีใครพยายามที่จะลดทอนความหวังเราขนาดไหน แต่มันยังอยู่ค่ะ มันยังอยู่ มันยังอยู่กับเรา ตราบเท่าที่เรายังอยากให้มันอยู่

“หมายความว่า เมื่อใดที่เรายังมีหวัง เราสามารถที่จะกำหนดมันได้ ว่าเราจะแปรเปลี่ยนความหวังนั้นเป็นแรงขับเคลื่อนในการต่อสู้อย่างไร และเมื่อเรายังมีหวัง หนูเชื่อว่าการต่อสู้ของเราทุกคนเมื่อเป็นไปด้วยความหวัง มันไม่มีทางหรอกค่ะที่เราจะผิดหวัง ผิดหวังแบบที่โดยสิ้นเชิง ไม่มีทาง

“เราแค่ต้องเอาความหวังนั้นฝ่าฟันอุปสรรคไปเรื่อยๆ เก็บชัยชนะระหว่างทาง ตอนนี้เส้นทางแห่งชัยชนะ เราเห็นได้ชัดกว่าเมื่อก่อนเยอะมากค่ะ และความหวังของทุกคนนั้นจะเป็นแสงสว่างที่จะส่องเจิดจ้า ให้เราเดินต่อไปในเส้นทางแห่งชัยชนะ แล้ววันนั้นเราจะได้ชัยชนะของพวกเราค่ะ”

 

“วันนี้จะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มันจะทำให้พวกเรารู้สึกอบอุ่นได้ และเรายังมีหวังเดินต่อได้ เพราะฉะนั้น สิ่งสุดท้ายที่หนูยังคงพูดเสมอ และยังคงบอกทุกคนเสมอ และอยากให้ทุกคนมั่นใจและย้ำเตือนกับตัวเองเอาไว้ก็คือ เชื่อมั่นในอำนาจของตัวเองเข้าไว้ค่ะ

“อย่าได้ปรามาสอำนาจของตัวเอง อย่าได้คิดว่าตัวเองด้อย อย่าได้คิดว่าตัวเองไม่พอหรอก หรือว่ามีอำนาจไม่พอหรอก หรือตัวเล็กตัวน้อยมากเกินไป อย่าไปคิดแบบนั้นค่ะ เราทุกคนมีศักดิ์ศรีในการต่อสู้เท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้น การต่อสู้ของเรา เมื่อเรามีความหวัง เราก็ทำให้มันสำเร็จได้ เชื่อมั่นในอำนาจของตัวเองเข้าไว้

“เพราะประเทศนี้เป็นของประชาชนทุกคนค่ะ”