แด่ความโฉดเขลา | คำ ผกา

คำ ผกา

ฉันเพิ่งเขียนลงไปในเฟซบุ๊กว่า ณ ตอนนี้เรามีอะไรให้ต้องกังวลใจมากเหลือเกิน

หนึ่ง ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารปี 2557 และ ณ ขณะนี้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญหายเงียบเชียบไปกับตา ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด เพราะหากเราแก้ไขกติกาไม่ได้ กลุ่มประยุทธ์และพรรคพวกก็จะครองอำนาจต่อไป

และนั่นหมายความว่าเราจะต้องอยู่กับรัฐบาลห่วยๆ แบบนี้ต่อไปอย่างไร้ทางเลือก

และไม่อยากจะคิดต่อไปว่า ทุกวันนี้คนอย่างไพบูลย์ นิติตะวัน ที่สามารถคว่ำวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จโดยอาศัยศาลรัฐธรรมนูญนั้น ป่านฉะนี้คงนอนยิ้มกริ่มฝันดีทุกวัน

งานที่ควรยากกลับง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ คว่ำวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญในรัฐสภาสำเร็จ ยังสามารถเตะถ่วง พ.ร.บ.ประชามติออกไปได้อีกเพียงเพราะมีการระบาดของโควิดเข้ามา

สังคมนี้ก็พร้อมยอมเป็นอัมพาต และคิดไม่ได้ว่า เราสามารถผลักดันเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญไปพร้อมๆ กับแก้ไขปัญหาโควิดระบาดได้หรือเปล่าวะ?

สอง ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ต้องเชี่ยวชาญเศรษฐกิจ วิเคราะห์อะไรให้ลึกซึ้ง แค่เอาตัวเลขจีดีพีจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บวกส่งออก บวกเกษตร มารวมกัน มันก็เกือบจะเป็นร้อยละ 40 ของจีดีพี และถามต่อไปว่า เราเหลือเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอะไรบ้างที่จะขับเคลื่อน “ตัวเลขทางเศรษฐกิจ”

ฉันใช้คำว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ เพราะในภาวะปกติ คำว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจออกจะเป็นคำที่น่ารังเกียจด้วยซ้ำ เพราะเราจะมองว่า สังคมที่มีสุขภาพดี จะไม่เอาตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวชี้วัดหรอก มันหยาบเกินไป มันต้องดูมิติของความเป็นมนุษย์ สุขภาพกาย สุขภาพจิตของผู้คนด้วย บลา บลา บลา

แต่ ณ ยามนี้ แม้แต่ตัวเลขทางเศรษฐกิจล้วนๆ ไม่ต้องดูมิติของความเป็นมนุษย์ มิติทรัพยากรธรรมชาติ อากาศ น้ำ สิ่งแวดล้อม เราก็ยังเอาตัวไม่รอด

และฉันจะไม่พูดซ้ำว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ผูกพันกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริหารทั้งหมดเสียหายไปเท่าไหร่ จะมีผลกระทบระยะยาวต่อคุณภาพชีวิต และทรัพยากรมนุษย์ในประเทศของเราอีกเท่าไหร่

ถามต่อไปว่า ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจขนาดนี้ รัฐบาลทำอะไรบ้าง?

รัฐมนตรีคลังออกมาแสดงวิสัยทัศน์อะไรที่ทำให้เรามีความมั่นใจ เชื่อมั่นบ้างว่า แม้วันนี้สถานการณ์ไม่ดี แต่อีกสามเดือนข้างหน้า หกเดือนข้างหน้า ในอีก 1 ปีข้างหน้า มันมีอะไรดีๆ รอเราอยู่ เพราะวันนี้ รัฐบาลมีโครงการหรือนโยบายดังต่อไปนี้

สิ่งที่เรามี คือรัฐมนตรีคลังที่พูดจาเลื่อยลอยไปวันๆ เป็นลมปากที่ไม่ต่างอะไรจากลมตด ไม่มีให้แม้แต่ไทม์ไลน์ของโครงการหรือนโยบายทางเศรษฐกิจใดๆ เลย

ยังมิพักจะต้องถามว่า เมื่อโครงการแจกเงินกะปริบกะปรอยทั้งหลายจบเลย ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง หรือ ม.33 ที่เหมือนการเอายาพาราเซตามอลให้คนป่วยหนักใกล้ตายกินซื้อเวลาไปวันๆ หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรกันต่อ?

ย้อนกลับไปสมการเดิมที่หลายภาคส่วนพยายามจะให้คำแนะนำกับรัฐบาลให้ทำ คือแจกเงินเพื่อชดเชยรายได้ให้ประชาชนแบบถ้วนหน้า เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น

การแก้ปัญหาระยะกลาง คือซอฟต์โลนให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี และการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญต่างๆ เช่น ระบบขนส่ง โลจิสติกส์ ระบบขนส่งมวลชน หรือแม้กระทั่งโอกาสในการรื้อปฏิรูประบบการศึกษา โรงเรียน และหลักสูตรการศึกษาแบบยกเครื่อง เปลี่ยนกระบวนทัศน์ทั้งหมด เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต

ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น และสิ่งเดียวที่รัฐบาลที่ถนัด คือเอาฝ่ายความมั่นคงมาทำแคมเปญบ้าๆ บอๆ แบบโลกยุคสงครามเย็น รู้รักสามัคคี มีวินัย จิตอาสา ข้าราชการเสียสละ ประชาชนต้องให้ความร่วมมือ

วนไปอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

 

สาม ปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน กลุ่มเยาวชน คนหนุ่ม-สาวที่โลกอันเจริญแล้ว มีอารยะแล้วมองว่า เยาวชนคนหนุ่ม-สาวเหล่านี้คือ “นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” พวกเขาคือ uprising movement ของศตวรรษนี้

ในขณะที่ประเทศอันเจริญแล้ว ผ่านยุคของการต่อสู้กับเผด็จการและทรราชมากว่าร้อยปี หลายประเทศในโลก เช่น ไทย พม่า (อยากจะเขียนว่า บางประเทศในแอฟริกา ก็ไม่ใช่ละ เพราะกลุ่มประเทศแอฟริกาเขาไม่ยอมให้เกิดรัฐประหารกันอีกแล้ว) ยังไม่สามารถเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ในนิยามของ “ชาติที่เป็นของประชาชน” สำเร็จ ยังคงชักเย่อทางอำนาจกับเผด็จการนั่งเมืองไม่หยุดไม่หย่อน

เมื่อเรายังอยู่ในห้วงเวลาแห่งการชักเย่อกันทางอำนาจ ซึ่งหมายความว่าฝ่ายหนึ่งก็อยากเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยสากล

อีกฝ่ายหนึ่งก็ชักเย่อไว้ด้วยกองทัพ อาวุธ และการล้างสมองผ่านกลไกการศึกษาและราชการที่มีอยู่ในมือ เพื่อยื้อประเทศนี้ให้เป็นระบบมูลนายกินเมืองอันล้าหลังป่าเถื่อน

สิ่งที่อำนาจรัฐทรราชทำก็คือ “ปราบ” ผู้คนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้และเรียกร้องกับเพื่อนร่วมชาติให้ตื่นจากหลับใหลและนำพาสังคมไปสู่ความเป็น “อารยชน” ร่วมกัน

ตั้งแต่หลายปีที่แล้วที่ uprising movement นี้ในประเทศไทยเริ่มใหญ่โต กว้างขวาง ภาวะตื่นรู้ขยายไปสู่คนรุ่นใหม่เกือบทั้งหมด ลามไปถึงนักเรียนชั้นประถมและมัธยม ฝ่ายที่ “นั่งเมือง” เห็นว่าปล่อยไว้ไม่ได้ จึงเริ่ม “ปราบ” อย่างหนัก

และในที่สุดกลุ่มเยาวชนคนหนุ่ม-สาวที่ไม่ได้มีความปรารถนาอะไรซับซ้อนไปกว่าต้องการให้ประเทศไทยอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาร้ายแรงและเพิ่มเติมด้วยการไม่ให้สิทธิประกันตัวเพื่อสู้คดี

นั่นแปลว่าพวกเขาต้องถูกจำคุกโดยที่ยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิดแล้วหรือไม่

ภาวะเช่นนี้ชัดเจนว่าสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทยนั้นเข้าขั้นวิกฤต ถ้าสติสตังค์เรายังดีอยู่ เราต้องรู้ว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ในรัฐที่ไม่มีอะไรเป็น “หลัก” ให้เรามั่นใจว่าชีวิตและทรัพย์สินของเรามีความมั่นคง ปลอดภัย (ขนาดบริษัทอย่างบีทีเอสยังต้องออกมาใช้วิธีชกนอกเวทีกับรัฐบาลอ่ะ คิดดูว่าระบบนิติรัฐของประเทศนี้วิกฤตขนาดไหน)

เราได้อ่านข่าวว่ามีนักเรียนมัธยมถูกติดสิทธิการศึกษาต่อด้วยเหตุผลเรื่องทัศนคติทางการเมือง และสิ่งที่น่าตระหนกอย่างยิ่งคืออันดับเสรีภาพทางวิชาการของไทยตกไปอยู่ในระดับเดียวกับเกาหลีเหนือ

ในขณะที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มีเสรีภาพทางวิชาการในระดับ “ดี” แต่ประเทศไทยอยู่ในระดับที่ “แย่”

ความน่าวิตกของฉันต่อเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เสรีภาพทางวิชาการของเราแย่

แต่สังคมไทยโดยเฉพาะชนชั้นกลางที่มีการศึกษาอันเป็นกลุ่มชนชั้นที่น่าจะ “ประสาทแดก” ต่อประเด็นนี้มากที่สุด (ก็เห็นว่าบ้าบอเรื่องมีการศึกษากับไม่มีการศึกษา บ้าปริญญา บ้าชุดครุยกันนักหนา) แต่มาเรื่องเสรีภาพทางวิชาการที่เท่าเกาหลีเหนือ ชนชั้นกลางไทยกลับทำหูทวนลม

เหมือนไม่มีข่าวนี้ เหมือนไม่มีข้อมูลนี้เกิดขึ้นในโลก

ไม่รู้สึกว่านี่คือวิกฤตทางภูมิปัญญาของสังคม

หากเรามองว่า มหาวิทยาลัยและโลกวิชาการคือ “คลังปัญญา” ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะทำให้เรา independent ทางเทคโนโลยี นวัตรรม ความรู้ทางศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ คือองค์ความรู้ที่จะปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความโฉดเขลา

พอมนุษย์ออกไปสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า อิสรภาพ เป็นอิสรภาพอันเกิดจากกลุดพ้นจากอวิชชา การถูกครอบงำจากอำนานรัฐ อำนาจทางการเมือง หรือแม้แต่อำนาจแห่งคำสอนทางศาสนา หรือใดๆ ที่เป็นโซ่ตรวนในชีวิตของเราก็จถูกปลดปล่อยด้วยพลังแห่งความรู้ทางมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์

สังคมใดที่ปราศจากซึ่งเสรีภาพทางวิชาการ หนทางที่สังคมนั้นและผู้คนในสังคมนั้นจะได้สัมผัสซึ่งอิสรภาพ การถูก liberate จากความเขลา ภาวะอวิชชา ignorance ทั้งหลายก็เป็นอันมืดมน และเปิดทางสะดวกให้ทรราชใช้ความเขลานี้ปกครองสนตะพายผู้คนต่อไปอย่างไม่มีสิ้นสุด

นี่คือความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดเท่าที่ชีวิตของประเทศ (อันไม่ได้เกิดขึ้นมายาวนานอย่างที่เข้าใจกันมาผิดๆ) จะได้เคยเผชิญมา ยังไม่นับปัญหายิบย่อย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาระบบการศึกษาอันล้าหลังจากการจงใจให้ล้าหลัง เพื่อ “ดอง” คนไทยให้ง่อยเปลี้ยเสียขาไปตลอดกาล เพื่อจะใช้เป็นเหตุผลว่า “คนไทยยังโง่อยู่ ดังนั้น จึงปกครองตนเองไม่ได้”

ยังไม่นับภาวะสังคมสูงวัยที่รอเราอยู่ในระยะประชิด

ยังไม่นับวิกฤตปัญหาสุขภาพจิตที่จะบั่นทอนอนาคตของประเทศในระยะยาวและเป็นตัวถ่วงให้การฟื้นตัวของสังคมไทยเป็นไปได้ยากเย็นขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น (หากเราจะมีโอกาสได้ฟื้น) ยังไม่นับปัญหาสังคมที่จะถาโถมมาอย่างไม่หยุดยั้ง

ฉันกำลังจะบอกว่าปัญหาการระบาดของโควิด มันคือการเปิดเปลือยเนื้อแท้และความโสมมของรัฐเผด็จการทรราช จนป่านนี้เราฉีดวัคซีนไปแค่แปดหมื่นคน (วันจันทร์ที่ 19 เมษายน) การล็อกดาวน์แบบไม่ล็อกดาวน์ ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามยถากรรม

ไม่กล้าล็อกดาวน์เพราะไม่อยากชดเชย เยียวยา แต่ในทางปฏิบัติกลับมีคำสั่งเหมือนล็อกดาวน์ทุกประการ ทำให้ภาวะการทำมาหากินของประชาชนหยุดชะงัก

นโยบายการเรียนการสอนไม่มีอะไรชัดเจนเพราะ รมต.คนใหม่ยังกักตัวอยู่ อ้างกลัวโควิด

ปล่อยให้คนประสาทแดก เพราะคิดว่าโควิดเป็นแล้วตาย เป็นแล้วถูกล่าแม่มด เป็นแล้วโดนจับเข้าคุก เป็นแล้วถูกจับไปอยู่โรงพยาบาลสนามที่สภาพอนาถา และยังต้องมาขอบริจาคกับประชาชน

วิกฤตโควิดเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง วิกฤตที่แท้จริงของสังคมไทยคือกลุ่มกินเมือง นั่งเมือง ทับเมือง หล่อเลี้ยงคนให้เป็นทาสส่งส่วยต่อรัฐ ไม่ฆ่าเราให้ตายเพราะเรายังมีประโยชน์ในแง่ของการทำงานส่งส่วยแต่ลุกมาหือกับอำนาจ จากนั้นเจียดให้รางวัลกับพวกทาสที่คอยเป็นหูเป็นตาให้ “นาย” ให้สำเร็จความใคร่จากการได้เลียตูดและเป็นขี้ข้า “นาย” อย่างไม่ลืมหูลืมตา

เศร้ากว่านั้น ฉันคิดว่าวิกฤตโควิดจะไม่ได้ทำให้คนไทยที่ลำบากกันอยู่ตอนนี้ตาสว่าง แต่ยิ่งพากันกลับไปหาระบบอุปถัมภ์เพื่อเอาตัวรอดและติดกับดักความกลัวไปสมยอมกับอำนาจอย่างเขลากว่าเดิม

และตอนนี้เราก็ too busy กับการกลัวตายจากโควิดจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็อ้างว่ายุ่งกับการแก้ปัญหาโควิดและเตะถ่วงเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ

รู้ตัวอีกทีระบอบเฮงซวยนี้ก็ยังอยู่กับเรา ลูกเรา หลานเรา เหลนเรา

นี่แหละที่เรียกว่าสังคมแห่งความโฉดเขลาที่แท้จริง