กาละแมร์ พัชรศรี : เมื่อเราจ้องหน้ากับความทุกข์

เวลาเรามีความสุขเรามักเผชิญหน้ากับมัน อ้าแขนรับมัน เฉลิมฉลอง จับมือเต้นรำกับมันจนลืมวันลืมคืน และหวังว่ามันจะอยู่กับเราตลอดไป

ใครๆ ก็อยากให้เป็นอย่างนั้นค่ะ แต่สุขกับทุกข์ ดันเกิดมาคู่กันอย่างกับฝาแฝดอินจัน วันนี้สุขแค่พลิกตัว พรุ่งนี้ก็ทุกข์ได้แล้ว

ตอนมีความสุขคงไม่มีใครอยากจะมารับฟังอะไร ก็ฉันมีความสุขดีอยู่แล้วนี่ อย่ายุ่งน่า

แต่พอมีความทุกข์บ่ายหน้าแบกร่างไปขอความช่วยเหลือจากทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คน สัตว์ สิ่งของ ยันต้นไม้กันเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าใครสะดวกทำอะไรแล้วสบายใจก็เอากันตามนั้น เพราะบางทีใจสบายก็อาจทำให้เรื่องร้ายๆ กลายเป็นดีได้

ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อ “ไม่สบายใจ” ก็หาวิธีทำอย่างไร “ให้ใจสบาย” ไปเลยจะดีกว่าไหม

 

สําหรับฉันแล้ว เวลาที่เรื่องที่ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ ฉันมักอยู่กับตัวเองเสมอ แล้วลงมือนั่งคุยกับตัวเองให้รู้เรื่องรู้ราว

กำลังใจจากคนรอบข้างก็สำคัญ ทำให้เรารู้ว่ามีคนรักเราแค่ไหน อบอุ่นหัวใจแค่ไหน เขาเชียร์เราแค่ไหน เราต้องลุกขึ้นมาให้ได้

แต่เวลาลุก เราต้องลุกขึ้นเอง เราต้องใช้แรงของเราเอง เพื่อที่เราจะต้องยืนด้วยขาของตัวเอง และก้าวเดินต่อไป ไม่มีใครสามารถประคองเราไปได้ตลอด ไม่มีใครอยากให้ใครมาเป็นภาระ และเราก็ไม่ควรทำตัวเป็นภาระใคร

สิ่งที่ฉันทำคือ ถอดร่างคุยกับตัวเอง!!!

ทำอย่างเห็นภาพคือ เวลาเรามีความทุกข์ หรือมีเรื่องที่คิดไม่ตก ไม่สบายใจ ฉันจะใช้เวลากับตัวเอง เพื่อให้ได้ความจริง เพื่อไม่หลอกลวงความรู้สึกตัวเอง ทำการถลกหน้ากาก ถอดหัวโขน ลอกเปลือก จะใช้คำอะไรก็แล้วแต่ แต่มันคือกันนั่งประจันหน้ากับตัวเอง แล้วเคลียร์กันให้จบ ไม่จบไม่เลิก ไม่มีการหนี ไม่ยื้อเวลา เพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว เพราะชีวิตเรามีเรื่องที่ต้องทำต่ออีกมากมาย

ถ้าเคลียร์เรื่องที่มันติดค้างใจไม่จบเสียที มันก็จะตามไปหลอนเราทุกวินาทีที่เราหายใจ หัวสมองเราจะคิดแต่เรื่องนี้วนไปวนมาไม่จบไม่สิ้น เหมือนพายเรือในน้ำเน่า เหม็นก็เหม็น อยากจะอ้วก แต่ไม่ยอมไปไหนสักที แถมไม่มีอะไรดีขึ้นมา

กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง มันเป็นเพราะเราไม่ยอมให้มันจบ ไม่ยอมหาทางออก ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง เพราะเรากลัวว่าความจริงมันเจ็บปวด ความทุกข์มันทรมาน

ไม่เหมือนกับความสุขที่เราอ้าแขนรับมันอย่างเต็มใจ

แต่พอความทุกข์มันมาเคาะประตูบ้าน เรากลับปิดประตู ล็อกกุญแจ วิ่งหนี ไปแอบในตู้เสื้อผ้า เอาผ้าห่มมาคลุมโปง จะลุกไปทำอะไรก็ไม่ได้

จะออกไปเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ สวยงามนอกบ้านก็ไม่กล้า เพราะความทุกข์มันจ่ออยู่หน้าประตูบ้าน

 

สิ่งที่ฉันทำคือ แยกร่างตัวเองออกมา ทำเหมือนเราเป็นอีกคนหนึ่ง แล้วนั่งมองตัวที่เป็นทุกข์อยู่ ตอนนี้ “เราไม่ได้เป็นเรา” แล้ว เราเป็นแค่เพื่อนสนิทที่นั่งมองอยู่

คราวนี้เมื่อเราไม่ได้เป็นคนทุกข์เพราะเราแยกร่างออกมาแล้ว เราก็จะมองเข้าไปแบบเห็นภาพชัดว่า ไอ้ตัวที่นั่งอยู่ข้างหน้าเรามันเป็นอะไร มันเสียใจเพราะอะไร ผิดหวังเรื่องอะไร ใครทำ โกรธอะไร กลัวอะไร วิตกกังวลเรื่องไหน

คุยกันแบบแมนๆ เปิดอก ไม่ต้องปิดบัง ไม่ต้องมีฟอร์ม ไม่ต้องเก๊กวางท่า

นึกภาพว่า ตอนเราทุกข์ เราเหมือนนักมวยที่เมาหมัดอยู่บนเวที คลุกวงในไม่ได้มองเห็นอะไรเลย ไหนจะเลือดกบปาก เหงื่อกบตา

แต่ถ้าเราเป็นคนดู เราก็อยากจะตะโกนบอกนักมวยว่า เฮ้ย ถอยออกมา เต้นฟุตเวิร์กก่อน แล้วค่อยเข้าไปใหม่อย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นเพราะเรามองเห็นในภาพรวม เราจึงบอกได้

ฉันใช้วิธีนี้ทุกครั้ง คุยกับตัวเองเป็นเรื่องเป็นราว คุยทั้งในใจและออกเสียง บ้างก็ยืนหน้ากระจก เคลียร์ๆ มองหน้ากันไปเลย ร้องไห้ก็ปลอบกันไป

ที่สำคัญฉันให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ ตบบ่าตบไหล่ กอดตัวเองบ่อยครั้ง เพราะรู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้เราต้องการอะไร

 

เมื่อเปิดอกคุยกับตัวเอง ต้องเอาให้จบ หาสาเหตุให้เจอว่าทุกข์เพราะอะไร แล้วเราจะหาทางดับมันอย่างไร จะปล่อยวางก็ต้องปล่อยให้จริง เพราะถ้าปล่อยจริงมันจะโล่งเลย แล้วไม่ต้องกลับไปคิดถึงมันอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้ปัญญาจากที่เคยเรียนมา ฟังมา อ่านมาที่เก็บไว้ในลิ้นชักต่างๆ ในสมอง รื้อค้นมันออกมาเพื่อหาทางดับทุกข์

อย่างเช่น อะไรที่ผ่านมาแล้วคืออดีต มันแก้ไขไม่ได้แล้ว อะไรทำดีที่สุดแล้วก็พอ สุดกว่านี้มันไม่ได้แล้ว ทุกข์เพราะอยากได้แต่ถ้าเงินไม่พอก็ต้องหาเพิ่ม หรือไม่ก็ลดขนาดความอยากลง รักแล้วเขาไม่รัก ก็บังคับเขาไม่ได้ เรายังบังคับใจตัวเองไม่ได้เลย หาแฟนใหม่ให้มันสดใสไฉไลเจอคนดีๆ ความรักดีๆ ไปเลย

ตกงานก็คิดเสียว่าเราจะได้ออกมาทำตามฝันที่เราอยากทำ มีความสามารถอะไรงัดออกมาใช้ให้เต็มที่ สู้ให้เต็มแรง อย่าท้อง่ายๆ

พอทำอย่างนี้ได้ ชีวิตมันจะไม่ไปดราม่าตามโซเชียล ไม่ไปบ่นเพ้อเหม่อมโนให้ชาวบ้านฟัง ซึ่งมันเป็นการเรียกร้องความสนใจ แต่ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น

ทุกข์ที่เราก็ต้องจบที่เรา กล้าๆ เผชิญหน้ากับมันค่ะ…