ถนัดใช้กำลังมากกว่าสมอง / ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

ถนัดใช้กำลังมากกว่าสมอง

 

พฤติกรรมของมวลชนฝ่ายหนึ่งที่มักใช้ความรุนแรงต่อคนคิดต่าง ใช้กำลังเล่นงานมวลชนอีกฝ่ายนั้น เริ่มปรากฏให้เห็นบ่อยขึ้นในระยะนี้ ลงไม้ลงมือในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวง ต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างไม่เกรงอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่เห็นเด็กชูสามนิ้วเท่านั้น เหล่าชายฉกรรจ์ฝ่ายเสื้อเหลืองก็เข้ารุมเตะต่อยข่มขู่คุกคามอย่างเกรี้ยวกราด

อันที่จริง เหตุการณ์แบบนี้ก็ปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ ในหลายพื้นที่ ดังเช่น เหตุรุนแรงที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ของเหล่าเสื้อเหลือง ทำอย่างโจ่งแจ้ง

การชุมนุมของเด็กชูสามนิ้วในหลายจังหวัด ก็มักโดนผู้ใหญ่เสื้อเหลืองเข้ามากดดันคุกคาม เปิดเพลงปลุกใจรักชาติผ่านลำโพงเสียงดัง ก่อนจะเข้ามาด่าว่าตะคอกใส่เด็ก บางพื้นที่ก็ลงไม้ลงมือ

หลายคนต้องนึกย้อนภาพเหตุการณ์ความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดในสังคมไทยในอดีต ในช่วงเหตุการณ์ตั้งแต่หลัง 14 ตุลาคม 2516 เมื่อนักเรียน-นักศึกษาที่เอาชนะรัฐบาลถนอม-ประภาส เปิดม่านสังคมไทยไปสู่ประชาธิปไตย ปิดฉากยุครัฐบาลทหาร จากนั้นขบวนการนักเรียน-นักศึกษาได้มีบทบาทมากมายในสังคม

จนกระทั่งรัฐต้องจัดตั้งมวลชนฝ่ายขวาขึ้นมา เพื่อต่อต้านเพื่อสกัดกั้นศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย

โดยรัฐเน้นจัดตั้งนักเรียนอาชีวะเป็นกองกำลังก่อกวนฝ่ายนักศึกษา ตั้งขบวนการกระทิงแดง โดยเน้นใช้กำลังเข้าทำร้ายร่างกาย ใช้มือเท้าไปจนถึงใช้มีดไม้ ใช้ปืน และระเบิด

ผ่านมาแล้วกว่า 40 ปี วิธีแบบนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน!

เพลงที่นำมาใช้ปลุกใจกันเอง และใช้กล่าวหาฝ่ายนักเรียน-นักศึกษา ก็ยังม้วนเดิมๆ เพลงหนักแผ่นดิน ร้องกันมาตั้งแต่ช่วงปี 2517-2519 เพื่อใช้ต่อต้านขบวนการนักเรียน-นักศึกษา

มาในปี พ.ศ.2563-2564 นี้ ก็ยังเปิดเพลงเดิมเพลงนี้อยู่ ผสมเข้ากับการใช้กำลังเข้าทำร้ายคนคิดต่าง ไม่ต่างไปจากเดิมเลย

ในทางกลับกัน ฝ่ายนักเรียน-นักศึกษากลับมีพัฒนาการที่ต่างไปจากสมัยหลัง 14 ตุลาคม 2516 อย่างมาก ทั้งท่วงทำนองในการเคลื่อนไหว ข้อมูลเนื้อหา เป้าหมายในการเคลื่อนไหว เสียงเพลงบทเพลงที่นำมาใช้ ก็เป็นไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

ฝ่ายขวาและมวลชนฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองเสียอีก ที่ไม่มีอะไรพัฒนาก้าวหน้าไปจากเดิมเลย

ถนัดแต่ใช้กำลัง วันนี้ก็ยังถนัดแบบเดิมๆ

สำคัญสุด ไม่สามารถใช้เหตุผลข้อมูลความคิดมาถกเถียงกับอีกฝ่ายได้

 

จะว่าไปแล้ว ฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองหรือฝ่ายขวานั้น ไม่เพียงแค่มวลชนเท่านั้น ที่ยังมีท่วงทำนองเดิมๆ เอาเข้าจริงๆ ก็เป็นไปทั้งหมดตั้งแต่ส่วนหัวลงมาเลยทีเดียว ที่ยังมีระบบความคิด มีแนวทางในทางการเมืองที่ยังคงล้าหลังสุดกู่ไม่แปรเปลี่ยน

จะเห็นได้ว่า นายกรัฐมนตรีผู้นำสูงสุดในฝ่ายบริหารนั้น ยังเป็นคนที่มาจากกองทัพ แถมเริ่มต้นเข้าสู่อำนาจด้วยการก่อรัฐประหาร ใช้รถถัง ใช้ปืน ใช้กำลังพลทหาร เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เสร็จแล้วก็ปกครองประเทศมา 7-8 ปี โดยระบบคิดในการบริหารรัฐบาลนั้น เป็นความคิดที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่

เจอนายโทนี่ วูดซัม เข้ามาเคลื่อนไหวในคลับเฮาส์ ทำเอาประชาชนทั้งประเทศหมดความหวัง!!?

หมดความหวังเพราะ โทนี่ วูดซัม กลายเป็นข้อเปรียบเทียบในฐานะนายกรัฐมนตรี ด้วยผลงานในอดีตสมัยที่เคยเป็นผู้นำรัฐบาล แม้กระทั่งวันนี้ก็คือนักธุรกิจใหญ่ระดับโลก ที่บินไปไหนมาไหน และนำเสนอแนวคิดในการแก้เศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤตโควิดได้อย่างชัดเจน

แต่คนไทยฟังโทนี่แล้วหมดหวัง เพราะที่คิดใหม่ๆ วิสัยทัศน์แหลมคมเช่นนายโทนี่ คงไม่สามารถกลับมาประเทศไทยได้ง่ายๆ

โดยที่เราก็อาจจะต้องอยู่กับนายกฯ ยศ พล.อ.ไปอีกนานไม่น้อย แค่ในช่วงวิกฤตโควิดนี้ ก็ยังมองไม่เห็นทางออกว่า จะมีฝีมือพลิกโฉมเศรษฐกิจได้อย่างไร

นี่คือหัวขบวนของฝ่ายขวาในบ้านเรา

ถัดมากลไกสำคัญของขบวนการอนุรักษนิยมการเมือง ที่ใช้ในทุกยุคสมัยคือ กองทัพและการรัฐประหาร นี่ก็คือท่วงทำนองการใช้กำลังอีก เป็นระดับกำลังรบในสงครามเลยทีเดียว

ทุกครั้งอ้างว่าการเมืองมีปัญหาความขัดแย้งแตกแยกรุนแรง กองทัพจำเป็นต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา

แต่การแก้ไขปัญหาของกองทัพก็คือ การเคลื่อนรถถังออกมา เคลื่อนรถหุ้มเกราะพร้อมอาวุธสงครามออกมา เอากำลังทหารติดปืนกลมาตั้งกระสอบทรายทำบังเกอร์อยู่ตามสี่แยกในเมืองกรุง พร้อมกับกำลังทหารถือเอ็ม 16 เข้ายึดสถานที่ต่างๆ

นี่หรือการแก้ปัญหาการเมือง!?

การแก้ปัญหาการเมือง ก็ต้องแก้ด้วยสติปัญญา ด้วยแนวคิดทฤษฎี ด้วยความเห็นชอบของประชาชน

แต่แก้แบบฝ่ายขวาก็คือ เอารถถัง เอาทหาร เอาปืนออกมายึด ดังที่เรียกว่า ใช้กำลังมากกว่าใช้สมอง เป็นเช่นนี้เอง!

 

การใช้ความรุนแรงป่าเถื่อนของขบวนการฝ่ายขวา ที่กระทำต่อนักศึกษาปัญญาชน อย่างร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็คงจะเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 สร้างเรื่องใส่ร้ายกล่าวหา ปลุกมวลชนให้เกิดอารมณ์คลั่ง เข้าปิดล้อมธรรมศาสตร์ แล้วใช้กระทิงแดงพร้อมอาวุธ ผสมเข้ากับกองกำลังรัฐ ยิงถล่มใส่นักศึกษา-ประชาชน จนล้มตายนองเลือด

ไม่หนำใจ ยังเอาศพมาเผายางรถยนต์ เอาลิ่มตอกศพ เอาไปแขวนกับต้นมะขามที่สนามหลวง แล้วใช้เก้าอี้ฟาด

ไม่สามารถจะใช้สติปัญญา ใช้ข้อมูลความคิดที่เหนือกว่า มาล้มขบวนการฝ่ายซ้ายได้ มีแต่ต้องใช้กำลังเข้าทำร้าย เข่นฆ่าอย่างเดียว

และจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นี่แหละ ที่อธิบายความจริงเบื้องหลังได้อย่างหนึ่งว่า ฝ่ายขวาสามารถเข่นฆ่านักเรียน-นักศึกษาที่คิดต่างได้ โดยไม่เคยมีใครถูกดำเนินคดี

ก็เพราะมวลชนฝ่ายขวา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรัฐขวาจัดนั่นเอง!

6 ตุลาคม ฆ่าอย่างโจ่งแจ้งที่สุด แต่ไม่มีผู้ต้องถูกดำเนินคดี

มาในยุคนี้ มีคนคิดต่างจำนวนมากถูกอุ้มฆ่าในประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่เคยมีใครถูกจับกุม คดีไม่เคยคืบหน้า

แกนนำฝ่ายคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบัน ถูกดักทำร้ายกลางเมืองหลวง ถูกไล่ทุบตีกลางถนน ท่ามกลางยุคสมัยที่กล้องวงจรปิดเต็มไปหมด แต่ไม่เคยมีพยานหลักฐาน

ดังนั้น ที่ฝ่ายเสื้อเหลืองทำร้ายเด็กชูสามนิ้วในที่ต่างๆ จึงกล้าทำอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาใคร ไม่หวั่นเกรงว่าจะมีกล้องวงจรปิดจับภาพได้มากมาย

เพราะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกระบวนการฝ่ายรัฐ ยิ่งเป็นรัฐยุคผู้นำมาจากกองทัพมาจากการรัฐประหาร ก็ยิ่งไม่มีปัญหา

สังคมไทยกลับเข้าสู่ยุคที่ฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิด แต่อีกฝ่ายทำอะไรผิดหรือไม่ผิดก็ผิดไปหมด อย่างโจ่งแจ้งอีกหน

ตั้งแต่การลอบทำร้าย การทำร้ายซึ่งหน้า ไปจนถึงกระบวนการดำเนินคดีในทางการเมือง

กระบวนการยุบพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับขั้วอำนาจอนุรักษนิยมการเมือง ทำมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย จนถึงพรรคอนาคตใหม่

จนกล่าวกันว่า กลุ่มอำนาจของสังคมไทยและเครือข่ายมือไม้ รุกไล่ฝ่ายคิดต่างอย่างไม่เคยปรานีปราศรัย

โดยไม่คิดบ้างเลยหรือว่า ยิ่งกดยิ่งเกิดแรงต้าน สักวันหนึ่ง จะนำไปสู่การลุกขึ้นต่อสู้ตอบโต้รุนแรงและจะกลายเป็นการแตกหักครั้งร้ายแรงของสังคมไทยไปในที่สุด!