จ๋าจ๊ะ วรรณคดี : หวยสักวา (3) / ญาดา อารัมภีร

ญาดา อารัมภีร

 

หวยสักวา (3)

 

วงตำรวจรับบทเสมียนเขียนหวย รับแทงหวยจากเหล่านักเลงหวยเรียบร้อยแล้วก็รวม ‘เงิน’ และ ‘โพย’ ไปส่งโรงหวย ตอนนี้ถึงรอบวงช่างเขียนบอกสักวาบทเจ้าสัวหงหยิบตัวหวยออกจากถุง ปรากฏว่าเป็นตัวมอ มีคนแทงตัวนี้ไม่กี่คน คือ คุณพุ่ม วงสักวาหลวงและวงตำรวจ เป็นอันว่างวดนี้เจ้ามือรวยเละ

“สักรวาเจ้าสัวหงเห็นส่งเสร็จ กลัวตัวเด็ดที่ในห่อคิดอ้อแอ้

หัวอกเต้นกระดิบกระดิบหยิบถุงแพร ชักตัวมอ ยิ้มแต้ แผ่ให้ดู

มีกำไรหลายร้อยบาทไม่ขาดทุน หัวอกอุ่นร้อยเท่าเราคงอู๋

สั่งเสมียนตรวจเงินตราชั่งตราชู อย่านิ่งอยู่ตรวจไปไวไวเอย”

วงตำรวจยิ้มร่าเพราะ ‘เป๋าตุง’

“สักรวารับเงินเต็มเดิมพัน ตัวมอหันหุนเต็งเต็มเก่งก๋า”

รวมทั้งคุณพุ่ม วงสักวาหลวงที่โชคดีมีเฮง

“สักรวาถูกหวยรวยถนัด นึกนิยมโสมนัสสหัสสา”

ส่วนวงสักวาอื่นยิ้มไม่ออกได้แต่กลอกตา

 

จะเห็นได้ว่าสักวาเรื่องหวยที่เล่นถวายในหลวงรัชกาลที่ 5 สะท้อนถึงความอยากได้อยากมีอยากเป็นของผู้เล่นหวย แขวนความหวังไว้กับการเสี่ยง ซึ่งไม่ใช่เสี่ยงแค่โชค แต่เอา ‘ชีวิต’ ไปเสี่ยง เอาทุกข์สุขในชีวิตและเงินในกระเป๋าไปเสี่ยงกับ ‘ความไม่แน่นอน’ ถือคติว่า ตาดีได้ ตาร้ายเสีย แม้จะ ‘ร้าย’ มากกว่า ‘ดี’ ก็ไม่เคยฉุกคิด คิดแต่จะแก้มือเท่านั้น สภาพเหล่านี้มีอยู่จริงในสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์

ดังที่ “เพลงยาวตำนานหวย” ของนายกล่ำ เล่าถึงบรรยากาศวันหวยออกว่า

“กิติศัพท์เฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี ถึงวันดีแล้วก็บอกจะออกหวย

ฝูงประชาพากันยากเพราะอยากรวย ช่วยส่งส่วยเจ้าสัวกลัวจะจน

พวกชาวบกเรือแพแลออกหลาม เที่ยวเดินตามกันออกยืดมืดถนน

ไม่คิดว่าจะฉิบหายต้องขายตน ต่างคนต่างเล่นเป็นอัตรา

พวกนักเลงครื้นเครงเสียงออกขาน ฝ่ายขุนบานสัวหงยิ่งหรรษา

เห็นคนเฮเรรวนจวนเวลา ก็หิ้วตัวหวยมาโรงตาราง

เปิดออกมาฮาลั่นสนั่นไหว ถูกของใครที่เล่นก็เต้นหยาง”

ตรงกันข้ามบางคนถูกหวยกินแล้วยังดันทุรังต่อ

“บ้างก็ถูกบ้างก็กินจนสิ้นม้วย ที่เสียหวยบ่นบ้าทำหน้าจ้อ

แทงตะบันมานั้นตั้งแต่ ก จนตัว ฮ ปลายสุดไม่หยุดเว้น”

เพราะ ‘เล่นกันหนักนุงนังทั้งกรุงศรี’ เลยตกที่นั่งย่ำแย่ มีตั้งแต่อาละวาดเมีย เสียที่เสียทาง หนีหนี้ไปจนถึงขายตัว

“บ้างหมดม้วยเสียหวยเข้าเต็มที่ พาโลตีภรรยาไม่ปราศรัย

บ้างเรือกสวนจำนำกันร่ำไป บ้างก็ไล่ทาสาเอาค่าตัว

บ้างจนจิตแล้วก็คิดอพยพ บ้างลี้หลบหนีเร้นไม่เห็นหัว

บ้างเสียนักยักย้ายลงขายตัว ……………………………………”

 

ทํากับคนธรรมดาด้วยกันนี่ก็หนักแล้ว ยังลามไปหลอกพระว่าจะบวช แต่ขาดผ้าไตร

“บ้างคิดชั่วขี้ฉ้อล่อเอาไตร

บ้างสิ้นฤทธิ์แล้วก็คิดเที่ยวเบียดเบียน พระฐานาบาเรียญไม่ว่าไหน

จะบวชตัวก็แต่จนนี้เหลือใจ ยังขัดในนักหนาผ้าไม่มี”

พระท่านเห็นความมุ่งมั่นของคนคุ้นเคยก็เมตตาให้ผ้าไตร

“พระสงฆ์เห็นพูดจาทำหน้าขึง ไม่รู้ถึงเล่ห์กลอ้ายคนผี

จึงว่าไปผ้าไตรของเรามี เนื้อก็ดีอยู่ดอกบอกให้พลัน

ประสกได้สมหวังดังประสงค์ ก็ลาลงจากกุฎีขมีขมัน

ด้วยเคยเชื่อชอบจิตสนิทกัน สงฆ์สำคัญว่าจริงไม่กริ่งใจ”

การพนันทำเสียผู้เสียคน คนเคยดีก็ดีแตก ผ้าไตรไปลับไม่กลับมา

“ฝ่ายประสกรับผ้ามาถึงบ้าน ก็เบิกบานยินดีจะมีไหน

อ้ายฉิบหายมันก็ขายเสียทั้งไตร แต่พอได้หมายแน่จะแก้ตัว”

 

นักเล่นหวยมีทั้ง ‘คนเข็ญใจไพร่ผู้ดี’ ทั้งนอกวังในวังติดหวยงอมแงมเหมือนติดยาเสพติด ชีวิตมืดมนทั่วหน้า

“เอาขัดสนจนยากเสียมากมาย ทั้งแม่ค้ามาขายก็พลอยเตียน

แต่ชั้นนอนไม่หลับเข้าจับจิต มันเอาติดเต็มประดาเหมือนอาเผี่ยน”

(อาเผี่ยน หรือ อาเพี่ยน = ฝิ่น Opium)

หวยแผลงฤทธิ์ติดหนับทั้ง ‘วัด’ และ ‘วัง’ ดังที่กวีบรรยายว่า

“ไม่ลดละพระพรอยก็พลอยเตียน เอากร่อนเกรียนเกรียมกรอบบอบระบม

มันกินเลี่ยนเตียนล่อนจ้อนทุกคน ตลอดจนบึงบางนางสนม

ไม่มีทุนมุ่นหมกหัวอกตรม ผ้านุ่งห่มแพรพรรณก็บรรลัย

สงสารนางชาวในใจปึกปึก ลงนั่งตรึกนอนตรองไม่ผ่องใส

เพราะรักรวยหวยกินแทบสิ้นใจ จนหลงใหลลืมคู่ที่ชู้เชย”

ผู้หญิงเล่นหวย ‘เฮง’ หรือ ‘ซวย’

ฉบับหน้าอย่าพลาด