เยียวยาโควิด : ‘ประยุทธ์’ เห็นชอบหลักการช่วยผู้ประกันตน ม.33 ลั่นต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 เมื่อเวลา 10.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก หลังประชุมหารือกับทีมเศรษฐกิจเพื่อหามาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพทยระบาด โควิด-19 ว่า “เช้าวันนี้มีประชุมหารือใน 2 เรื่องสำคัญ เรื่องแรก คือ มาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ประกันสังคม ผมได้เห็นชอบในหลักการให้ช่วยเหลือผู้ประกันตนให้ครบทุกคน โดยจะเร่งนำเสนอให้ ครม. พิจารณาโดยเร็ว

เรื่องที่ 2 เกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้กับนักลงทุนชาวไทย และชาวต่างชาติ รวมทั้งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ภายหลังวิกฤตโควิด และมาตรการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ”

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะเห็นได้ว่า เราพยายามอย่างหนักที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และขณะเดียวกันเราก็มุ่งมั่นที่จะมองไปข้างหน้าเพื่อวางทิศทางเศรษฐกิจหลังโควิด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะความร่วมมือทุกภาคส่วน ความพยายามของพวกเราทุกคนจะต้องประสบผลแน่นอน #รวมไทยสร้างชาติ #ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ต่อมา นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กล่าวภายหลังเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมว่า นายกรัฐมนตรี เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือแรงงานผู้ประกันตนมาตรา 33 โครงการ “ม.33 เรารักกัน” โดยนายกฯ อยากให้ครบทุกคนที่มีสิทธิดังกล่าว ส่วนเม็ดเงินจะได้คนละเท่าไหร่และออกมาในรูปแบบไหนนั้น ต้องรอหารือในรายละเอียดอีกครั้ง แต่เบื้องต้นรูปแบบจะเป็นเหมือนโครงการเราชนะ โดยนำเงินเข้าแอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์ เพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย

“ยืนยันคนในครอบครัวมาตรา 33 จะให้ทุกคน ที่มีอยู่ประมาณ 11 ล้านกว่าคน สำหรับเงื่อนไขผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าวนั้น นายกฯ ให้ความอนุเคราะห์ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอคือ คงเหลือเงื่อนไขเดียวคือ คนที่มีเงินฝากเกิน 5 แสนบาทจะไม่ได้รับสิทธิเพียงเงื่อนไขเดียว”

สำหรับแนวทางมาตรการเยียวยาผู้ที่อยู่ภายใต้ระบบประกันสังคม ม.33 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังอยู่ใน 3 แนวทางในการช่วยเหลือ ประกอบด้วย

สำหรับแนวทางมาตรการเยียวยา กำหนดไว้ ดังนี้

  • แนวทางที่ 1 คนละ 3,500 บาท
  • แนวทางที่ 2 คนละ 4,000 บาท
  • แนวทางที่ 3 คนละ 4,500 บาท

ส่วนหลักเกณฑ์การรับสิทธิ์ “ม.33 เรารักกัน” จะเหมือนกับโครงการ “เราชนะ” โดยตัดเงื่อนไขเรื่องการมีรายได้ขั้นต่ำปีละ 3 แสนบาทออกไป แต่มีคุณสมบัติดังนี้

หลักเกณฑ์การรับสิทธิ์

  • มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
  • มีเงินฝากในธนาคารไม่เกิน 500,000 บาท