สปอตไลต์ส่อง ‘ลุงพล’ ฟันข้อหาทำร้ายนักข่าว ‘รุกป่า-มีไม้หวงห้าม’ ตร.จับตาคดีน้องชมพู่ / อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

สปอตไลต์ส่อง ‘ลุงพล’

ฟันข้อหาทำร้ายนักข่าว

‘รุกป่า-มีไม้หวงห้าม’

ตร.จับตาคดีน้องชมพู่

กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง สำหรับกรณีของนายไชย์พล วิภา หรือที่รู้จักกันดีในนามของ “ลุงพล” ในคดีเสียชีวิตปริศนาของ “น้องชมพู่” ที่บ้านกกกอก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร

เมื่อกลายเป็นเป้าหมายในการจับส่งตรวจเครื่องจับเท็จ พร้อมกับภรรยาป้าแต๋น และพยานอีกหลายปาก

หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สอบสวนจนสรุปชัดเจนตั้งแต่ปลายปี 2563 แล้วว่าน้องชมพู่ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟด้วยตัวเอง จึงต้องมีคนร้ายที่พาตัวน้องชมพู่ขึ้นไป และยังเป็นผู้ถอดเสื้อผ้าของน้องชมพู่อีกด้วย

แต่แม้จะมีผู้ต้องสงสัย แต่ก็ยังไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้

ล่าสุดผลการสอบสวนด้วยเครื่องจับเท็จออกมาแล้ว อยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่เปิดเผย

ขณะที่ลุงพลที่ปักหลักอยู่ที่บ้านกกกอก พร้อมด้วยกองทัพสื่อและยูทูบเบอร์ ก็เผชิญกับคดีอื่นๆ อาทิ เรื่องการครอบครองไม้หวงห้าม

ตามมาด้วยคนเคยรักหลายๆ คนที่เริ่มตีจาก จนกระทั่งควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ถึงขั้นบีบคอนักข่าว ก่อนจะขอโทษในเวลาต่อมา

กลายเป็นเรื่องชวนติดตามว่าจะมีบทสรุปของเรื่องทั้งหมดอย่างไร

จับตา ‘ลุงพล’ เข้าเครื่องจับเท็จ

กลายเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อตำรวจพิสูจน์หลักฐานเดินหน้าคลี่คดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ที่พบเป็นศพเสียชีวิตอยู่บนภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ด้วยการนำตัวพ่อ-แม่ของน้องชมพู่ พี่สาว และญาติรวม 7 คน มาเข้าเครื่องจับเท็จ

จนกระทั่งวันที่ 8 มกราคม 2564 ก็ถึงคิวของ “ลุงพล-ป้าแต๋น” หรือนายไชย์พล วิภา อายุ 44 ปี และนางสมพร หลาบโพธิ์ อายุ 41 ปี ลุงและป้าของน้องชมพู่ เข้าสู่กระบวนการให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง พร้อมทั้งเข้าตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ

โดยคราวนี้ลุงพล-ป้าแต๋นเดินทางมาจาก จ.มุกดาหารด้วยรถยนต์ส่วนตัว ก่อนเข้าพักที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งใน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยเมื่อมาถึงอาคารศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 เจ้าหน้าที่ก็พาทั้งคู่ขึ้นไปยังชั้นบนทันที ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่มาคอยติดตามทำข่าว

ทั้งนี้ จากรายงานระบุว่า การสอบปากคำดังกล่าวดำเนินการโดยนักจิตวิทยา มีการตรวจวัดคลื่นหัวใจและนำเข้าเครื่องจับเท็จ เพื่อนำหลักฐานมาประกอบสำนวนคดี โดยป้าแต๋นเข้าเครื่องจับเท็จก่อน ตั้งแต่เวลา 11.00-15.00 น. รวมเวลา 4 ชั่วโมง ขณะที่ลุงพลเข้าเครื่องจับเท็จตั้งแต่เวลา 15.00-21.30 น. รวมเป็นเวลา 6 ชั่วโมง

โดยลุงพลเปิดเผยหลังเข้าเครื่องจับเท็จว่า เจ้าหน้าที่ให้เข้าเครื่องจับเท็จ ให้ตอบคำถามว่าใช่หรือไม่ ไม่ให้อธิบาย จำคำถามทั้งหมดไม่ได้ คำถามวนไปวนมา ไม่รู้ว่าเครื่องเหล่านี้ทำอะไรให้เราได้

สิ่งที่กังวลคือกลัวจะตอบผิดตอบถูก อย่างไรก็ตาม ไม่หนักใจ ยังยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง อยากให้น้องชมพู่ให้กำลังใจลุงกับป้าที่ต่อสู้มาถึงวันนี้เพื่อเรียกความยุติธรรมให้หลาน ต้องการให้คนที่ทำผิดต้องออกมารับผิดชอบ เพราะเวลาผ่านมาหลายเดือนแล้ว

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มกราคม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ก็เปิดเผยว่า ผลการพิสูจน์ผ่านเครื่องจับเท็จ ที่สอบปากคำลุงพล ป้าแต๋น และคนในครอบครัวน้องชมพู่ รวมถึงชาวบ้านบ้านกกกอก จ.มุกดาหาร ผลออกมาแล้ว ทั้งส่วนของกราฟ และการแปลผลไม่เป็นทางการ หลังจากนี้จะเป็นเรื่องทางธุรการ เพื่อนำไปรวมกับพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ขอเปิดเผยข้อมูล หากมีความคืบหน้าจะแถลงให้ทราบอย่างเป็นทางการ

ส่วนที่ระบุว่าตำรวจเตรียมออกหมายจับตัวการสำคัญของคดี พล.ต.อ.สุวัฒน์ระบุเมื่อวันที่ 27 มกราคม ว่า วันนี้ยังไม่มีการออกหมายจับใคร แต่พรุ่งนี้ก็ยังไม่แน่

ลุ้นระทึกกับคดีน้องชมพู่!??

โดนอีกทำร้ายนักข่าว-รุกป่า

ทั้งนี้ ระหว่างการรอผลสรุปจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรื่องราวของลุงพลยังคงมากสีสัน ไม่ว่าจะเกิดอาการน็อตหลุด แย่งไมโครโฟน ผลักอกนักข่าวสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เมื่อเช้าวันที่ 19 มกราคม ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่ผู้สื่อข่าวติดตามเรื่องการดำเนินคดีในข้อหาครอบครองไม้หวงห้าม ซึ่งลุงพลอ้างกับชาวบ้านว่าเป็นไม้ที่ไหลมาตามน้ำป่า เป็นไม้ตะเคียนแม่โสรภี ซึ่งเตรียมตั้งศาลให้ชาวบ้านกราบไหว้บูชา ต่อมาจึงเป็นเรื่องร้องเรียนให้กรมป่าไม้

โดยเริ่มต้นจากการที่ผู้สื่อข่าวเข้าไปสอบถามเรื่องถูกดำเนินคดี จนลุงพลไม่พอใจ พยายามแย่งไมค์ ผลัก กระชากหน้ากากอนามัยของผู้สื่อข่าว พร้อมทั้งทุบไปที่หลัง

โดยผู้สื่อข่าวรายดังกล่าวต้องร้องขอว่าอย่าทำร้ายร่างกาย เพราะมาทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวเท่านั้น ตามด้วยคลิปวิวาทะกับผู้สื่อข่าวอีกสำนัก เรื่องถ่ายภาพโดยไม่ขออนุญาต

กลายเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าอะไรทำให้ลุงพลที่มักจะโอภาปราศรัยกับสื่อด้วยดี แถมยังมีช่วงที่สื่อมวลชนปั้นขึ้นมาจนเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศเปลี่ยนไป

ขณะที่ลุงพลออกรายการชี้แจงเรื่องดังกล่าว ยอมรับว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน วันเกิดเหตุเริ่มต้นที่จะหยอกล้อน้องนักข่าวเท่านั้น ไม่ได้คิดทำร้าย แต่ถ้าเห็นว่าเป็นการคุกคามสื่อก็ต้องขอโทษ เพราะตอนนี้ก็มีเรื่องเครียดหลายเรื่องเช่นกัน

ไม่เพียงแค่นั้น บรรดากัลยาณมิตรที่เคยช่วยเหลือผลักดันกันมาก็เริ่มตีตัวออกห่าง ทั้งนักปั้นมือทอง อุ๊บ วิริยะ มือปราบสัมภเวสี หมอปลา และทนายโนบิ ที่เคยว่าความให้ และออกมาปกป้องช่วงคดีน้องชมพู่แรกๆ ก็ออกรายการโทรทัศน์ประกาศตัดขาดเดินกันคนละเส้นทาง ด้วยเหตุผลที่ถูกระแวงว่าไปติดเครื่องดักฟัง รวมทั้งเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ อีกมากมาย

เป็นเรื่องราวให้สังคมได้ติดตาม

ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงที่รอความคืบหน้าในคดีของน้องชมพู่ ลุงพลก็เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาครอบครองไม้หวงห้าม ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เพียงแต่ไม้ตะเคียนที่ลุงพลกล่าวอ้างนั้น แท้จริงแล้วก็คือไม้มะค่า

รวมทั้งคดีทำร้ายร่างกายสื่อมวลชน ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ ยังมีการเข้าไปตรวจสอบ “วังพญานาค” ของลุงพล ตามที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ร้องให้ตรวจสอบการก่อสร้างพญานาค ซึ่งจากการตรวจสอบด้วยโปรแกรมภูมิสารสนเทศ พบว่าพื้นที่ดังกล่าว 2 งาน 9.63 ตารางวา ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงภูพาน จ.มุกดาหาร จึงเชิญตัวไปสอบปากคำที่ สภ.กกตูม

เป็นอีก 3 คดีที่ลุงพลต้องเผชิญ!!

ย้อนมหากาพย์ ‘น้องชมพู่’

สําหรับคดีของน้องชมพู่ ที่เป็นปฐมเหตุของเรื่องทั้งหมด เกิดจากการหายตัวไปของน้องชมพู่ หรือ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา อายุ 3 ขวบ ที่หายไปจากบ้านพักตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ขณะที่คนในหมู่บ้านช่วยกันตามหาจนพบศพน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ท่ามกลางความสงสัยว่าน้องชมพู่เดินขึ้นไปเสียชีวิตเอง หรือใครเป็นคนพาไป

คณะทำงานของตำรวจนำโดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ ที่ขณะนั้นเป็นรอง ผบ.ตร. ทำคดีเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 2 ตุลาคม หลังจากรับตำแหน่ง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ก็นำคณะชี้แจงความคืบหน้าของคดีหลังเก็บรวบรวมพยานหลักฐานนานถึง 4 เดือน

โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ระบุว่า สอบปากคำบุคคลจำนวน 384 ปาก นำเข้าสำนวน 124 ปาก ผู้เชี่ยวชาญ 13 ปาก วัตถุพยาน 154 ชิ้น สำนวนการสอบสวน 918 หน้า ยืนยัน 8 ข้อ คือ

1. เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง

2. พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไป ไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ

3. ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่า เด็ก 3 ขวบจะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น

4. กรณีศึกษาการหลงป่าของนางทิน เชื้อคมตา ชาวบ้านกกตูม ชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว

5. แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ยืนยืนว่าพัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้

6. สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพู่ยืนยันว่าน้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้

7. พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่า เป็นการกระทำของบุคคลอื่น

8. นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมา น้องชมพู่ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง

ทั้งหมดยืนยันได้ว่าน้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนภูเหล็กไฟซึ่งเป็นจุดพบศพได้ด้วยตนเอง จะต้องมีใครบางคนที่รู้จักกัน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเป็นผู้พาขึ้นไป โดยผู้ที่พาขึ้นไปจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จะต้องมีความผิดฐานพรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และมีความผิดในข้อหาซ่อนเร้น เคลื่อนย้าย ทำลาย และอำพรางศพ

ต้องลุ้นกันต่อไปว่าจะได้ตัวผู้กระทำผิดหรือไม่

แต่ที่แน่ๆ คงยืดเยื้อเข้าขั้นมหากาพย์อย่างแน่นอน