22 พฤษภาคม 2557 วันพิฆาตกู้อนาคต

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2557

ในช่วงเวลานั้นผมกำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.6 ซึ่งกำลังมีความกังวลในเรื่องของการสอบแอดมิชชั่นส์เข้ามหาวิทยาลัย

และนอกจากนี้ ผมยังมีความกังวลใจเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานั้นตามประสาเด็กที่สนใจและติดตามเรื่องการเมือง

การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม กปปส. ยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด

ถึงแม้จะสามารถเคลื่อนไหวจนทำให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยเป็นอันตกไปได้ และทำให้รัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยุบสภาไปตั้งแต่เดือนธันวาคมแล้วก็ตาม

แต่การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ยังคงไม่สิ้นสุดลง

พวกเขายังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่าการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

ณ เวลานั้น ทางฝั่งกองทัพก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในเวลานั้นได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก รวมถึงการจัดตั้ง กอ.รส. (กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย) ขึ้นเพื่อใช้ดูแลความสงบเรียบร้อย

“รัฐประหารแน่ๆ ยังไงก็รัฐประหารชัวร์ รอดูเลย”

เพื่อนผมคนหนึ่งพูดขึ้นมาในวงสนทนาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

ในกลุ่มของเรา ใครๆ ก็รู้ดีว่าเพื่อนคนนี้สนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และการเมืองมากๆ และมักจะมีเรื่องราวน่าสนใจมาเล่าให้เราฟังเสมอ

ดังนั้น เมื่อประกอบกับข่าวและสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ผมจึงเชื่อสิ่งที่เขาพูดอย่างสนิทใจ

เพียงแค่ไม่รู้เท่านั้นว่ามันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด

“ช่างแม่ง ไปดูหนังกัน”

ในช่วงนั้น มีหนังฮีโร่ฟอร์มยักษ์ภาคต่ออย่าง X-Men : Days of Future Past หรือชื่อไทย X-เม็น สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต ซึ่งได้ผู้กำกับฯ มือดีอย่าง ไบรอัน ซิงเกอร์ กลับมารับตำแหน่งผู้กำกับฯ อีกครั้ง

แน่นอนว่าเป็นหนังที่ผมกับเพื่อนๆ ตั้งตารอกันมาอย่างใจจดใจจ่อ

สำหรับในประเทศไทย หนังเรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ด้วยความที่รอคอยมานาน ผมจึงตั้งใจจะไปดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรง โดยมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกหนึ่งคน ซึ่งผมมักจะชอบไปดูหนังด้วยอยู่บ่อยๆ

เมื่อวันที่หนังเข้าโรง วันนั้นผมกับเพื่อนเลิกเรียนค่อนข้างเร็ว ผมกับเพื่อนมุ่งตรงไปที่โรงหนังทันที และได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นรอบแรกของวัน

จำได้ว่าเราได้รอบหนังประมาณสี่โมงนิดๆ

X-Men ภาคนี้จุดเด่นอยู่ที่การย้อนเวลาไปในอดีตเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต

ซึ่งนอกจากการที่เราจะได้เห็นหนังแสดง X-Men ทั้งสองเจเนอเรชั่นมาอยู่ด้วยกันในจอเดียวกันแล้ว และการที่หนังเล่นกับเส้นเวลาซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมาก

เมื่อผมออกจากโรงมาจึงรู้สึกอิ่มเอมเป็นอย่างยิ่ง

เราออกจากโรงมาประมาณหกโมงกว่าๆ ผมกับเพื่อนคุยกันเกี่ยวกับหนังเล็กน้อยก่อนจะเริ่มสังเกตเห็นอะไรที่ผิดปกติ

“ทำไมร้านค้าปิดไวจังวะ เพิ่งหกโมงเองนี่นา”

ร้านค้าต่างๆ ในห้างต่างก็เตรียมปิดร้านกันอย่างพร้อมใจ บรรยากาศในห้างไม่ต่างอะไรจากเวลาที่ห้างใกล้จะปิด จนผมสับสนถึงขนาดดูนาฬิกาตัวเองอีกที และย้อนคิดว่าผมดูหนังรอบดึกรึเปล่า?

ทันใดนั้นผมจึงคิดอะไรออกมาได้

“มึง! กูรู้แล้วทำไมห้างปิดเร็ว”

“ทำไมล่ะ?” เพื่อนผมถาม

“รัฐประหารไง! สงสัยเกิดรัฐประหารขึ้นแล้วชัวร์! ก็เราเข้าไปดูหนัง X-Men ใช่ไหม? ซึ่งมันก็ไปเปลี่ยนแปลงอดีต ซึ่งพวกเราเนี่ยก็เข้าไปเปลี่ยนแปลงอดีตเหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ออกมาท่าไหน แม่งเลยเกิดรัฐประหารขึ้นเฉยเลยว่ะ ฮะฮ่าๆๆๆ”

“มึงก็พูดไปเรื่อยเปื่อย” เพื่อนผมหัวเราะเล็กน้อย

บอกตามตรงผมก็เล่นมุขไปอย่างนั้นเองแหละ ไม่ได้รู้อะไรเลยว่าในช่วงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้น และด้วยความที่ร้านค้าต่างๆ ในห้างเตรียมปิดกันหมด หลังจากดูหนังเสร็จ ผมและเพื่อนจึงกลับบ้านกันทันที เราสองคนบ้านอยู่ใกล้กัน จึงนั่งรถกลับไปด้วยกัน

เมื่อลงจากรถผมกับเพื่อนเตรียมจะแยกกันกลับบ้าน ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนเรียกชื่อผม ผมหันไปดูจึงเห็นแม่ผม ใช่! แม่ผมเอง กำลังวิ่งตรงมาทางผมด้วยท่าทางรีบร้อนเป็นอย่างมาก

“ไปไหนมา แม่ตามหาแทบแย่ โทร.ไปก็ไม่รับ”

“ไปดูหนังมาครับ แต่ปิดมือถือไว้ ลืมเปิดเครื่อง โทษทีครับ”

“รีบกลับบ้านได้แล้ว เกิดรัฐประหารแล้วเนี่ย ไม่รู้หรอ?”

“หะ?” ผมกับเพื่อนค่อยๆ หันมามองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนแยกกันกลับมาบ้าน

ผมกับเพื่อนเข้าไปดูหนังที่ตอนจบของหนังมีการย้อนเวลาเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต แล้วพอพวกเราออกมาจากโรงหนังก็พบว่าอนาคตของพวกเราก็ได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน

กลายเป็นว่าเข้าไปดูหนังแอ๊กชั่น แต่ออกมากลายเป็นหนังตลกร้ายเสียดสีสังคมไปซะงั้น

ตลกร้ายเสียดสีสังคมยังไงนะหรือ?

ก็ในหนังเล่าเรื่องจากสภาพปัจจุบันอันโหดร้าย ทำให้เหล่าฮีโร่ต้องย้อนเวลากลับไปในอดีต เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตให้ดีขึ้น

ไม่ต่างอะไรจากบ้านเราหรอกครับ ที่ทุกครั้งที่บ้านเมืองเราเกิดปัญหา ก็มักจะมีฮีโร่กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา แล้วก็แก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม และหลายครั้งกระบวนการแก้ไขปัญหานั้น มันทำให้ประเทศเราย้อนเวลากลับไปเกือบหลายสิบปี

แต่ที่ดูเหมือนว่าตัวหนังจะแตกต่างจากบ้านเราก็คือ ในหนังจบลงด้วยการเปลี่ยนแปลงอดีต และได้มาซึ่งอนาคตที่สงบสุข จบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง

แต่ในความเป็นจริง เราไม่เคยได้อนาคตที่ดีกว่ามาจากการย้อนเวลา ที่เราได้มาคือการย่ำอยู่กับที่เท่านั้น