สถานีคิดเลขที่12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร / วังวนความเหน็ดเหนื่อย

สถานีคิดเลขที่12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

—————————

วังวนความเหน็ดเหนื่อย

——————-

สังเกตุเหมือนกันหรือเปล่าว่า หลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลุดพ้นจากกรณีบ้านหลวง ไม่ได้ สดชื่นขึ้นมาเท่าไหร่นัก

ยังคงดูเนือยๆ เหนื่อยๆ

ถึงได้ไปต่อ แต่ก็เป็นอย่างที่มีการวิพากษ์ในระยะหลัง

นั่นคือ มีการกระซิบกระซาบกันให้แซ่ด ว่า การจะได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อ

พล.อ.ประยุทธ์ มิได้เป็นกำหนดชะตากรรมตัวเอง

และเพราะเสียงกระซิบนี้ จึงทำให้ เรื่องบ้านหลวง ตื่นเต้น ขึ้นมา

ทั้งที่ หากเป็นเมื่อก่อน ประเด็นแบบนี้ แทบไม่เป็นข่าว เพราะรอดแหงๆ

แต่อาจเพราะ ภาวะการเป็น “ผู้ถูกกำหนด”นี้

เลยมีการมโนไปว่าอาจมีเซอร์ไพรส์ –ไม่ได้ไปต่อ

อย่างไรก็ตาม ที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ในท่ามกลาง ความไม่เกิดขึ้นดังกล่าว เราได้สัมผัส ภาวะ เนือยๆ เหนื่อยๆของพล.อ.ประยุทธ์อย่างที่ว่า

ด้านหนึ่ง เพราะ เอาเข้าจริงเรื่องก็ไม่จบ

กรณีบ้านหลวง กลายเป็นประเด็นที่นำไปสู่ การตั้งคำถามเรื่อง”มาตรฐาน”การตัดสินวินิจฉัยขององค์การอิสระ

นำไปสู่การตั้งคำถาม เรื่องการปฏิรูปกองทัพ ที่ทำอย่างไรจะขจัดอภิสิทธิ์ ไม่เท่าเทียมกับหน่วยราชการอื่นๆ

จนเกิดความสงสัยอย่างที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นเรื่องต่อ คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร

ให้สอบการออกระเบียบของกองทัพ ที่อาจไม่ได้ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายใด และไม่พบในราชกิจจานุเบกษา

ดังนั้นแม้ พล.อ.ประยุทธ์รอดจากศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ก็ไม่น่าจะรอดความผิดฐานรับประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 128 ได้

ซึ่งคงเป็นประเด็นร้อนฉ่าต่อไป ทั้งในสภา และในท้องถนน ที่ประเด็นเหล่านี้ ถูกม็อบ นำไปขยายผลอย่างเข้มข้น

และมีโอกาสบานปลายออกไปได้ตลอดเวลา

ภาวะที่ไม่จบดังกล่าว ทำให้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาเรียกร้องแทนพล.อ.ประยุทธ์

ว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มีผลยึดโยงกับทุกองค์กร

ตอนนี้ถือว่าจบสิ้นในกระบวนการพิจารณาแล้ว จึงควรยุติเรื่อง

ไม่ควรนำเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องกับทางการเมือง

โดยนายอนุชาอ้างว่า เพราะประเทศชาติกำลังเดินหน้าต่อไป ทั้งการแก้ปัญหาโควิด-19 การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการลดความเหลื่อมล้ำ

“รวมถึงข้อเรียกร้องทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการสมานฉันท์ที่อยู่ในกระบวนการของรัฐสภา จึงขอให้ผู้ที่จะดำเนินการในลักษณะดังกล่าวคิดถึงผลประโยชน์ของชาติ และขอให้ผู้ที่เห็นต่างใช้เวทีคณะกรรมการสมานฉันท์ ในการพูดคุย เพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน”นายอนุชา ระบุ

ฟังดูดี

กระนั้น เอาแค่ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ที่แม้จะอยู่ในกระบวนการของรัฐสภา ก็จริง

แต่ล่าสุด กลุ่มไทยภักดี ก็”ไม่จบ” พยายาม ลากดึงออกมา

ด้วยการไป ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอระงับแก้รัฐธรรมนูญ

โดยอ้างว่า การตั้ง ส.ส.ร. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

ซึ่งหากเรื่องนี้ ได้ไฟเขียวเดินหน้าเข้าไปอยู่ในการพิจารณาของวังวนเดิมอีก

ความหวั่นระแวง ความหวั่นวิตกก็จะเกิดกับสังคมซ้ำยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะฝั่งฟากที่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ หากเจอข้อหา”ล้มล้างการปกครอง”เข้าไปอีก

รับรองเหนื่อยกันทุกฝ่าย ด้วยไม่มีอะไรเป็นมาตรฐานให้ยึดถือ

นอกจากวนเวียนอยู่ในปัจจัยเดิมๆ