ธงทอง จันทรางศุ | ผมต้องหมุนตัวเองตามโลกเพราะโลกไม่ได้หมุนตามผม

ธงทอง จันทรางศุ

ท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดทางการเมืองที่ยังไม่เห็นความชัดเจนว่าจะเดินไปข้างไหน

ชีวิตของอีกหลายคนก็ยังดำเนินต่อไปตามปกติ

เพียงแต่ว่าเป็นความปกติใหม่ที่ทุกคนต้องสร้างความคุ้นเคยหลังจากการเกิดโรคโควิด-19 และเจ้าโรคที่ว่านี้ก็ยังไม่ได้ห่างหายไปไหน

ถ้าอ่านหนังสือพิมพ์หรือรับข้อมูลจากสื่ออะไรต่อมิอะไรก็มีคนขู่อยู่เสมอว่า การระบาดรอบสองจะมาถึงในเร็ววันนี้

ผมก็รอรับมืออยู่นะครับ เมื่อข่าวปิดล็อกบ้านเมืองไปหนึ่งเดือนเต็มในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมอยู่กับบ้านเขียนหนังสือได้วันละหนึ่งบท พอหายใจหายคอได้สะดวกก็พิมพ์เป็นหนังสือชื่อ ธงทองของเยอะ พิมพ์เองขายเองหมดเกลี้ยงไปแล้ว

นึกว่าถ้าโควิดมารอบสองนี่จะเขียนเรื่องอะไรดีหนอ มีเรื่องที่อยู่ในใจเยอะแยะไปหมด ถ้าปิดล็อกอีกทีก็ได้หนังสืออีกหนึ่งเล่มแน่นอน

แต่ระหว่างที่โรคโควิดรอบสองยังไม่เกิดขึ้นจริง ผมก็ใช้ชีวิตไปตามปกติแบบที่เป็น New Normal ไปพลาง

คนมีอาชีพเป็นครูอย่างผมจะทำอะไรได้นอกจากการสอนหนังสือ

ผมเริ่มชีวิตเป็นอาจารย์สอนหนังสือในคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2523

เผลอตัวเพียงครู่เดียวก็ 40 ปีเข้าไปแล้ว

นึกคำนวณโดยเฉลี่ยว่ามีนักเรียนเรียนหนังสือกับผมปีละประมาณ 300 คนในวิชาต่างๆ และคณะต่างๆ

นั่นแปลว่ามีคนที่เคยเป็นนักเรียนของผมจำนวนมากถึง 12,000 คน

คนเป็นครูจำนักเรียนไม่ได้ทุกคนหรอกครับ ยกเว้นที่ดีเด่นหรือมีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษ แต่เราก็หวังว่านักเรียนจะจำเราได้

ความรู้สึกอย่างนี้มีคุณกับชีวิตไม่ใช่น้อยเพราะทำให้ผมรู้สึกว่าจะทำอะไรก็ต้องเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าลูกศิษย์จะคิดเห็นอย่างไร

เกิดเราไปทำอะไรที่ไม่เหมาะควรขึ้นมา เขาสิ้นความนับถือขึ้นมาล่ะแย่เลย

บอกกันตามตรงว่าตั้งแต่เกิดโรคโควิดขึ้นนี้ ผมคิดถึงการเรียนการสอนในห้องเรียนของผมจังเลยครับ

เพราะตั้งแต่เดือนมีนาคมที่เกิดโรคนี้ขึ้นมา มหาวิทยาลัยวางระบบให้อาจารย์ทั้งหลายต้องสอนออนไลน์

หมายความว่าเราจะนั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้า iPad หรือคอมพิวเตอร์สักเครื่องหนึ่ง แล้วก็พูดพร่ำเพ้อไปคนเดียวขณะที่นิสิตผู้เป็นนักเรียนของเรานั่งอยู่อีกปลายทางข้างหนึ่ง

และส่วนใหญ่แล้วนิสิตก็ไม่เปิดกล้องด้วยสิครับ

เด็กๆ อาจจะกลัวเราเห็นเขาอยู่ในสภาพที่หัวกระเซอะกระเซิงเพราะเพิ่งตื่นนอนมาก็ได้

เลยปิดจอเป็นความลับดำมืด

ถือว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งเพราะเขาเห็นหน้าผม แต่ผมไม่เห็นหน้าเขา

เวลาผมสอนหนังสือผมชอบเห็นดวงตาของนักเรียนครับ เพราะดวงตาและสีหน้านี้เองจะเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่านักเรียนเข้าใจเรื่องที่ผมกำลังพูดอธิบายอยู่หรือไม่เพียงใด

ในชั้นเรียนปกติ แบบเห็นหน้าค่าตากัน ถ้าแววตาผู้ฟังมีเครื่องหมายคำถามซุกซ่อนอยู่ให้เราสังเกตได้ ผมก็จะอธิบายซ้ำอีกครั้งหนึ่งโดยเปลี่ยนวิธีการอธิบายหรือยกตัวอย่างประกอบเพิ่มเติม โดยมากแล้วผู้ฟังจะมีอาการกระเตื้องขึ้น

เครื่องหมายคำถามจะค่อยๆ เล็กฝ่อลง และจางหายไปในที่สุด

ทั้งหมดที่พูดมานี้ชั้นเรียนออนไลน์ไม่สามารถจะตอบสนองความต้องการของผมได้เลย

เวลาสอนออนไลน์และไม่เห็นหน้านักเรียนผมจะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองยืนพูดอยู่ในที่เวิ้งว้างแห่งหนึ่งและพูดไปโดยไม่เห็นปฏิกิริยาตอบรับอย่างหนึ่งอย่างใด

เหงาและไม่ชอบเลยครับ

แต่พอเหตุการณ์ค่อยๆ คลี่คลายลงไป เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาผมสามารถไปสอนหนังสือแบบพบตัวเป็นๆ ของนิสิตได้แล้ว แต่ต้องเป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานใหม่นะครับ นั่นคือต้องมีการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าอาคารและต้องสวมหน้ากากอนามัย

วิชาที่ผมเป็นผู้บรรยายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาคือวิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย เป็นชั้นเรียนสำหรับนิสิตปีหนึ่งจำนวนเต็มทั้งหมดประมาณ 300 คน ไม่มีห้องเรียนห้องใดในคณะของผมที่สามารถจะรับนักเรียน 300 คนที่นั่งกระจัดกระจายแบบต้องมีระยะห่างทางสังคมได้ครบจำนวน

การเรียนวันนั้นจึงต้องเป็นแบบไฮบริด คือมีนักเรียนจำนวนหนึ่งมานั่งเรียนในชั้นเรียนเท่าจำนวนเก้าอี้ที่พอจัดสรรได้

อีกจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายข้างมากกว่าเสียด้วยซ้ำ นั่งเรียนระบบออนไลน์อยู่ที่บ้านซึ่งมีทั้งบ้านในกรุงเทพฯ และบ้านในต่างจังหวัด

เมื่อเป็นระบบผสมแบบนี้ ผมก็อนุมานเอาว่านิสิตที่นั่งอยู่ต่อหน้าต่อตาของผมเป็นประชากรกลุ่มตัวอย่างของนิสิตที่มีจำนวนเต็ม 300 คน

นึกเสียว่าอย่างนี้ก็แล้วกันครับ

ถ้านิสิตที่นั่งฟังผมบรรยายอยู่ต่อหน้าต่อตายังงุนงงสงสัยกับคำพูดของผม มีแววตาเคว้งคว้างอยู่กลางหาว แล้วนิสิตที่นั่งปิดจอมืดอยู่ที่บ้านจะมิยิ่งอาการหนักกว่านี้หรือ

เมื่อมีสมมุติฐานอย่างนี้แล้วผมก็พูดซ้ำพูดซากจนกว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องเรียนจะเข้าใจและมีแววตาสดใสปิ๊งปั๊งขึ้นมา โดยถือว่าเขาเป็นตัวแทนของนักเรียนทั้งชั้นเรียน

การสอนแบบมีสองระบบควบคู่กันอย่างนี้ อาจจะเป็นมิติใหม่ของการเรียนการสอนที่จะอยู่กับเราไปอีกนานหลายเดือนหรือหลายปี

เราต้องหัดให้อยู่กันได้อยู่กันดีกับระบบใหม่แบบนี้ครับ แม้จะไม่รู้สึกอุ่นใจเท่าระบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยมาแต่อ้อนแต่ออกก็ตาม

สอนเสร็จแล้วมีนิสิตมาขอถ่ายรูปเซลฟี่ด้วยหลายคน มีคนหนึ่งขอถ่ายแบบบูมเมอแรงด้วย

แบบบูมเมอแรงนี้คือเวลาถ่ายรูปคู่กับนิสิตเราต้องทำท่าดุ๊กดิ๊กขยับโน่นนี่ด้วย คลิปวิดีโอสั้นๆ ที่ออกมาจะได้น่ารักน่าเอ็นดู

ข้อนี้ไม่ยาก ผมซึ่งอายุ 65 แล้วพร้อมจะดุ๊กดิ๊กอยู่เสมอ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าโลกของเราหลังการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ตั้งแต่เรื่องเล็กนิดเดียว เช่น วิธีการสอนหนังสือในชั้นเรียนของผม ไปจนถึงเรื่องมหึมา เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ไปตามๆ กัน ยกตัวอย่างเพียงแค่ธุรกิจการบิน ธุรกิจท่องเที่ยวที่ใกล้จะขาดใจอยู่แล้วก็เห็นจะพอนึกภาพออกกันได้ชัดเจนแล้ว

ชุดความคิดแบบดั้งเดิมก็ดี ข้อมูลแบบดั้งเดิมก็ดี หรือวิธีการแบบดั้งเดิมก็ดี ที่เคย “ดี” หนักหนามาหลายสิบปี อาจจะไม่สามารถตอบโจทย์ของคำถามที่เกิดขึ้นใหม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราต้องปรับตัวและเป็นการปรับตัวแบบรวดเร็วรุนแรงด้วยถึงจะทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ยามนี้ผมบอกกับตัวเองได้แต่เพียงว่า

ผมต้องหมุนตัวเองตามโลกเพราะโลกไม่ได้หมุนตามผม

นี่พูดจริงๆ นะตัวเอง