“ชูวิทย์” งง ถูก “ผบช.น.” เรียกสอบข้อมูลบ่อนเฮียตี้ ระบุทำไมไม่เรียกคนเจาะสว่านถอดกล้อง

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.63 ภายหลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เข้าพบ กมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร นั้นปรากฎว่าล่าสุดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 5 ส.ค. นายชูวิทย์ได้โพสต์เฟซบุ๊ก โดยระบุว่า “กระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว” โดยมีรายละเอียดคือ

“กฎหมาย มีไว้ให้คนในสังคมปฎิบัติตาม ผู้ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ต้องอำนวยความยุติธรรมให้บังเกิดแก่ทุกคนในสังคมอย่างเท่าเทียม
แต่กลับพลิกแพลง ใช้ประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญ เอื้ออำนวย ปกปิด บิดพริ้วความเป็นจริง และใช้อำนาจปกป้องหน่วยงานของตัวเอง โดยพยายามชี้นำสังคมถึงความเชื่อถือบนซากปรักหักพังที่ล่มสลาย

การพูดเรื่องผิดให้กลายเป็นถูก เพื่อประโยชน์ต่อตัวเองและพวกพ้อง ให้ยังคงมีสถานะ ตำแหน่ง อย่างไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ของผู้ทำหน้าที่ธำรงความยุติธรรม

พวกเราในฐานะประชาชน ยังคงเชื่อมั่นในกฎหมาย แต่ผู้ทำหน้าที่กลับทำลายโดยไม่ได้สำเหนียกถึงความผิดที่พวกท่านกล้าทำจนเกินกว่าที่สังคมจะยอมรับได้

ไม่ว่าการอ้างไม่มีกล้องวงจรปิด ขนย้ายหลักฐานเพื่อกลบเกลื่อนความผิดในการตั้งบ่อนการพนันและมีคนตาย โดยไม่สนใจถึงสภาพที่เกิดเหตุ ความเป็นจริงของคดี

หรือการที่อัยการต่างร่วมกันปัดสวะให้พ้นตัวว่าเป็นการทำสำนวนที่อ่อนของตำรวจแต่ต้น ในเรื่องนายบอส

หากแต่กระแสสังคมที่บีบรัด ไม่พอใจถึงความไม่ยุติธรรม ความไม่เท่าเทียม ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ท่านไม่ได้ตั้งลำคิดหาคำแก้ตัว แต่ยังทำให้ท่านไม่เหลือความน่าเชื่อถือในสายตาของประชาชน

การใช้ดุลยพินิจแบบกลับไปกลับมา แทนที่จะต้องรอบคอบ และเป็นประโยชน์ต่อสังคมเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง กลับอาศัยช่องว่างในการเอาตัวรอดออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก อันเกิดมาจากการที่ท่านไม่สนใจกระแสสังคมมาตั้งแต่ต้น จนเหตุการณ์ถลำลึก เข้าทำนองกลืนไม่เข้า คายไม่ออก

ที่บอกว่าทำงานโดยไม่สนใจกระแสสังคม แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะครับท่าน ในที่สุด ความยุติธรรมที่บิดเบี้ยว ก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวท่านเองอย่างเหลือเชื่อ ข่าวล่าสุด ผบช.น. จะเรียกผมไปสอบขอข้อมูลบ่อนเฮียตี้

จะเรียกผมไปทำไม?

ควรเรียก 2 คนในรูปที่เห็นปีนบันไดลิง มือถือสว่านถอดกล้องอยู่ ไปให้การยังดีเสียกว่า ว่าถอดไปทำไม? แบบนี้เท่ากับเคลื่อนย้ายหลักฐานออกจากที่เกิดเหตุ ทั้งๆ ที่มีศพนอนอยู่ข้างๆ แบบนั้น

ทำกันได้ถึงขนาดนี้ ไม่อายฟ้าดินบ้างเลย พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย”