ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 กรกฎาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้คนเราเมาหรือบ้าได้ยิ่งกว่าสุราหรือยาเสพติด
ก็คงจะเป็น “อำนาจ” นี่แหละ
ถ้าเป็นยาเสพติดก็ออกฤทธิ์รุนแรงเสียยิ่งกว่าสารเสพติดชนิดไหนๆ
เสพเข้าไปแล้วทั้งเพลิดเพลินเจริญใจ
ติดเข้าไปแล้วก็โงหัวไม่ขึ้น ถอนตัวไม่ได้
ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย ทั้งในสังคมโลก
และสังคมบ้านเรา
อาการของผู้เสพติดอำนาจที่เห็นได้ชัดเจน
ก็คือหูอื้อ ตาลาย
ไม่ได้ยินคำเตือนแสลงหู
ตาขวางเมื่อมีคนขัดใจ
และใช้อำนาจนั้นอย่างสะเปะสะปะ เลอะๆ เทอะๆ
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นคุณเท่าไหร่ ไม่ว่าจะต่อผู้อื่นหรือต่อตนเอง
ไม่เชื่อก็ลองดูตัวอย่างล่าสุด
ไอ้ที่ออกประกาศให้เปิดผับ-บาร์ได้ แต่ไม่ให้ไปต่อร้านข้าวต้ม
มันคืออะไร?
ถ้ากลัวนักเที่ยวจะติดโควิด ก็ปิดผับ-บาร์ต่อไปดีกว่า
มันจะมาติดอะไรกันช่วงนั่งร้านข้าวต้ม
หรือถามว่ามีปัญญาไปตรวจสอบได้หมดไหม ว่าคนที่มานั่งร้านข้าวต้มนั่น
ออกมาจากผับ-บาร์ เพื่อมาต่อให้เต็มคราบ
หรือเขาออกมาจากบ้าน มาหาของกินยามดึก
หรือว่าเขาเพิ่งเลิกงาน จะหาอะไรกินรองท้องก่อนกลับบ้าน
เป็นคำสั่งที่สะท้อนสติปัญญาของคนออกคำสั่งได้ชัดเจน
พอๆ กับที่สั่งให้เปิดอาบอบนวดได้ แต่ห้ามไม่ให้ขายบริการทางเพศ
คำสั่งแบบนี้ ถ้าไม่ใช่โกหกตัวเอง
ก็คือเห็นคนอื่นปัญญาอ่อนไปหมด
ความบ้าหรือเมาอำนาจของท่านผู้มีอำนาจนั้น
นอกจากจะสะท้อนออกมาทางคำสั่ง ประกาศ หรือนโยบายอะไรที่ “เพี้ยนๆ” แล้ว
ยังสังเกตได้จากเรื่องที่ลงมือกระทำหรือไม่กระทำอีกด้วย
มัวแต่ไปทำเรื่องเพี้ยนๆ (เพราะคิดว่าแสดงถึงความมีอำนาจได้ชัดเจนดี)
เลยไม่ได้ลงมือทำเรื่องที่เป็นแก่นเป็นแกน เป็นสาระ
ยกตัวอย่างสักเรื่องสองเรื่อง ที่เป็นทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและจะลากไปเป็นปัญหาระยะยาวของสังคมไทยในวันนี้ก็ได้
นี่ล่วงเข้ามาถึงช่วงเวลา “วันฝีแตก” กันแล้วนะครับ
– เศรษฐกิจจะหดตัวอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
– คนจะตกงานมากที่สุดตั้งแต่เคยพบเคยเห็นกันมา
แถมยังมีปัญหาเครื่องเคียงที่มาซ้ำเติมอย่าง
– ค่าเงินบาทแข็งผิดปกติ กระทืบซ้ำการส่งออกและการท่องเที่ยว
ถามว่าได้ลงมือแก้ไขอะไรในเรื่องที่เป็น “วิกฤต” ของสังคมอย่างนี้บ้างหรือยัง
หรือมัวแต่ใช้เวลาไปทำเรื่องเพี้ยนๆ เรื่องคิดว่าเป็นการประกาศศักดา
เรื่องที่คิดว่าได้แสดงสติปัญญา
(ถ้ายังพอมีเหลืออยู่)
เอาตัวอย่างที่ย่อยลงมาอีกก็ได้
กรณีกระทรวงศึกษาธิการตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานขององค์การค้า สกสค. (คุรุสภาเดิม) ไปร่วมพันคน
จริงอยู่ว่า โครงสร้างบริหารขององค์การค้าฯ ล้าหลัง ทำอะไรก็แข่งขันสู้กับเอกชนไม่ได้
ฝีไม่แตกหรือไม่เจ๊งวันนี้ (เหมือนการบินไทย) ก็ต้องเจ๊ง (มากกว่าเดิม) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลามาแค่นั่งวิเคราะห์ปัญหา แล้วก็บอกว่ากรรมใครกรรมมัน
ไปเผชิญชะตากรรมกันเอาเอง
อย่างนั้นไม่ต้องมีรัฐบาลก็ได้
และอย่างนั้นก็ให้เตรียมใจกันเอาไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า
จะมีอีกสารพัดองค์กรทยอยกันเลิกกิจการ หรือปลดพนักงานเป็นจำนวนมหาศาล
และคนตกงานเหล่านั้นจะเคว้งคว้าง
เพราะไม่มีใครยื่นมือเข้ามาโอบอุ้มประคับประคอง
โดยเฉพาะรัฐ-รัฐบาล ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง
คําถามง่ายๆ ก็มีอยู่ว่า ถ้าองค์กรห่วยต้องปล่อยให้ล้มไป
แล้วองค์กรปกครองที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศนี้ “ห่วยแตก” แบบเดียวหรือยิ่งกว่า
ทำไมถึงจะปรับ ถึงจะเปลี่ยน
หรือถึงจะปล่อยให้ล้มไปบ้างไม่ได้