ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 มิถุนายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | โล่เงิน |
เผยแพร่ |
จากปฏิบัติการ “stop children born-หยุดการกำเนิดเด็ก”
ที่ตำรวจกองปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ร่วมนำกำลังบุกบ้านหรูย่านลาดพร้าว หนึ่งในที่หมาย 10 จุดรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทลายเครือข่ายแม่อุ้มบุญรับจ้างตั้งครรภ์ ส่งทารกไปยังเมืองจีนที่เปิดฉากในช่วงเช้ามืดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
หลังสืบสวนขยายผลการจับกุมขบวนการขนถังอสุจิไปเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อปี 2560 ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มนายทุนบริษัทนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ ก่อนสาวถึง “สถานอนุบาลเด็กอุ้มบุญ” ที่มีชาวจีนใช้ชื่อคนไทยจดแจ้งความเป็นเจ้าของบ้าน
นำไปสู่จับกุม “จ้าวหราน” นายทุนชาวจีนและบุคคลในขบวนการ แบ่งเป็นนายหน้าชาวไทยที่จ้างหญิงไทยมาอุ้มบุญ คนขับรถ และคนพาเข้า-ออกประเทศที่กระจายอยู่หลายจังหวัดนับสิบราย ในความผิดฐาน “สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า”
เวลาล่วงมาเกือบ 4 เดือน ล่าสุดปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตำรวจปราบปรามการค้ามนุษย์ออกหมายจับกุมแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และผู้ร่วมขบวนการอุ้มบุญรายอื่นๆ ได้อีก 10 ราย แบ่งเป็นแพทย์ 6 ราย นายทุนกลุ่มใหม่อีก 4 ราย
สำหรับ “จ้าวหราน” เรียกได้ว่ามีความสำคัญระดับสั่งการเฉพาะโซนประเทศไทย ถึงแม้จะเป็นตัวการใหญ่ที่ประสานระหว่างกลุ่มทุนฝั่งจีนกับนายหน้าชาวไทยนั้น ก็ยังเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ไม่ใช่ “เบี้ย” แต่ก็ยังไม่ใช่ “ขุน” ในกระดานเกมนี้
พ.ต.อ.มานะ กลีบสัตบุศย์ รอง ผบก.ปคม.เผยถึงการทำงานขบวนการนี้ว่า ด้านกระบวนการเก็บไข่ไปผสมกับอสุจิ โดยแพทย์ที่ลักลอบทำในไทยทั้ง 6 ราย จะเช่าสถานพยาบาลเพื่อเปิดคลินิกเฉพาะทางสำหรับผู้มีบุตรยาก
โดยจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายกำหนด มีแพทย์ที่มีใบรับรองสูตินารีเวชดำเนินการ
เมื่อแม่อุ้มบุญไปฝังตัวอ่อนที่ประเทศเพื่อนบ้านเสร็จ จะกลับเข้าพักฟื้นที่ไทยในสถานที่ที่กำหนดจนครบเดือนคลอด บางส่วนจะคลอดในไทยก่อนแม่อุ้มบุญพาเด็กไปส่งยังพ่อ-แม่ที่ประเทศจีน
ขณะที่แม่อุ้มบุญอีกส่วนจะไปคลอดที่จีนแล้วส่งเด็กให้พ่อ-แม่ก่อนกลับไทยมาคนเดียว
รายงานการสืบสวนเผยถึงการสั่งทำทารกเริ่มจากลูกค้าซึ่งเป็นพ่อ-แม่ในเมืองจีนที่ไม่สามารถมีบุตรได้ จะติดต่อหานายหน้าชาวจีนที่จะประสานมายังนายหน้าในไทย เพื่อหาหญิงสาวอายุตั้งแต่ 20-35 ปี ที่เคยมีบุตรแล้วเข้ามาตรวจสภาพร่างกายมาเป็นแม่อุ้มบุญ
โดยชักชวนหรือล่อลวงด้วยเงินค่าจ้างสูงถึง 3-6 แสนบาท
หากพร้อมจะพาไปประเทศลาว หรือกัมพูชาเพื่อฝังตัวอ่อน ก่อนกลับเข้ามาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชนของไทยเพื่อรอเดินทางไปคลอดที่จีน
โดยขบวนการนี้จะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบก.ปคม.เผยว่า บก.ปคม.ตั้งคณะทำงานร่วมสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทลายเครือข่ายแก๊งอุ้มบุญข้ามชาติตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยจัดผู้ต้องหาเป็น 5 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มแม่อุ้มบุญ
2. กลุ่มหญิงขายไข่-ชายขายอสุจิ
3. กลุ่มนายหน้าจัดหาแม่อุ้มบุญ
4. กลุ่มนายหน้าติดต่อนายทุนจีน
และ 5. กลุ่มนายทุนจีน
ซึ่งภารกิจนี้ได้สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องประมาณ 500 ราย ก่อนออกหมายจับกุมผู้ต้องหาล็อตแรก 13 ราย จับกุมได้ 11 ราย มีหญิงไทยถูกจับที่จีน 1 ราย
ส่วนนายหยาง เฉิน นายทุนชาวจีนที่ยังหลบหนี 1 ราย ล่าสุดออกหมายผู้ต้องหาล็อตที่ 2 ได้ 10 ราย เป็นกลุ่มแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และนายทุนกลุ่มใหม่ 4 ราย รวมแล้วออกหมายจับทั้งหมด 23 ราย จับกุมได้ 22 ราย เหลือเพียงชาวจีนที่ยังหลบหนี 1 ราย
ทั้งนี้ ทางการจีนได้ส่งทีมงานเข้ามาช่วยเหลือทางคดี ยืนยันว่ามีพ่อชาวจีนที่ต้องการนำเด็กไปเลี้ยงดูจริงๆ 4 คน แต่ยังไม่ปรากฏข้อมูลว่ามีเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญถูกนำไปค้าอวัยวะหรือนำไปประกอบอาหารทำเปิบพิสดารอย่างที่เคยมีกระแสข่าวไป
พล.ต.ต.วรวัฒน์บอกด้วยว่า คดีนี้ อสส.ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับ ปคม.รวม 7 คน มั่นใจว่าสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแม้จะอยู่ในต่างประเทศได้ เนื่องจากการกระทำผิดเข้าข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและเป็นความผิดมูลฐานการฟอกเงิน
จากนี้ ปปง.จะยึดอายัดทรัพย์สินจากการกระทำผิดทั้งหมด ซึ่งการตรวจสอบเส้นทางการเงินของขบวนการนี้ พบเงินหมุนในระบบกว่า 500 ล้านบาท ส่วนทรัพย์สินที่ยึดอายัดมีมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท
ข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ระบุว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสถานพยาบาลกว่า 100 แห่งที่ดำเนินการผสมเชื้อ หรือฝังตัวอ่อนอย่างถูกกฎหมายให้ผู้ประสงค์มีบุตรแต่ไม่สามารถมีได้กว่า 400 รายแล้ว ก่อนจะมี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ หรือ พ.ร.บ.อุ้มบุญ บังคับใช้เมื่อปี 2558 จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทลายแก๊งอุ้มบุญอย่างผิดกฎหมาย
แต่ที่จริงแล้ว การอุ้มบุญอย่างถูกกฎหมายก็ยังมี คือผู้เป็นสามี-ภรรยาที่จดทะเบียนกัน หรือชาวต่างชาติที่มีคู่สมรสชาวไทยและจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 3 ปี สามารถมาขอมีบุตรด้วยการอุ้มบุญได้กับสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต และดำเนินการโดยหมอที่ได้รับอนุญาตจากแพทยสภา ทั้งนี้ ก็ห้ามเลือกเพศเด็ก ห้ามซื้อ-ขายนำเข้าไข่กับอสุจิ ห้ามโฆษณารับจ้างตั้งท้อง รวมถึงห้ามปฏิเสธการรับเลี้ยงเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญ ไม่เช่นนั้นถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ตาม พ.ร.บ.อุ้มบุญ
ทว่าในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเงิน ลำพังเพียงกฎหมาย ศีลธรรม และจรรยาบรรณ คงไม่พอจะขจัดขบวนการที่ควรเรียกว่า “อุ้มบาป” นี้ให้ราบคาบ
การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมประจานบุคลากรสาธารณสุขที่ไร้จรรยาบรรณเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ เป็นมาตรการทางสังคมน่าจะได้ผล
หมากเกมนี้ต้องเดินให้ถูกทาง จึงจะกิน “ขุน” เป็นอันชนะขาด
พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่