ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 พฤษภาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
“ศิลปะควรเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ปลดปล่อยจิตวิญญาณของคุณให้เป็นอิสระ, กระตุ้นจินตนาการ และผลักดันให้ผู้คนก้าวเดินไปข้างหน้า”
ในเดือนพฤษภาคมนี้เป็นเดือนเกิดครบรอบ 62 ปี (ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่) ของศิลปินชาวอเมริกันระดับตำนาน เจ้าของผลงานป๊อปอาร์ตสไตล์กราฟฟิตี้ ที่เติบโตจากวัฒนธรรมบนท้องถนนของนิวยอร์กในช่วงยุค 1980s ผู้กล่าวประโยคข้างต้นนี้
ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า
คีธ แฮริ่ง (Keith Haring) (4 พฤษภาคม 1958 – 16 กุมภาพันธ์ 1990)
จิตรกร ประติมากร และศิลปินกราฟฟิตี้ ผู้หยิบเอาองค์ประกอบในวัฒนธรรมบนท้องถนนและวัฒนธรรมสมัยนิยมที่ก่อนหน้านั้นถูกมองว่าเป็นของชั้นต่ำ ไร้รสนิยม และไม่ได้รับการยอมรับจากคนในวงการศิลปะ
มาทำให้กลายเป็นผลงานศิลปะที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างได้ในที่สุด
ด้วยการใช้เทคนิควาดภาพบนท้องถนนอย่างกราฟฟิตี้ และภาพวาดฝาผนังกำแพง ด้วยสีสันที่สดใสจนสามารถดึงดูดสายตาและสร้างความเพลิดเพลินเจริญใจให้กับผู้ชม
เขากับศิลปินร่วมรุ่นอย่างฌอง มิเชล บาสเกีย (Jean-Michel Basquiat) และเคนนี ชาฟ (Kenny Scharf) ร่วมกันเปิดพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ ในการทำให้สิ่งที่ดูง่ายๆ บ้านๆ อย่างภาพการ์ตูนที่หัดวาดด้วยตัวเอง กลายเป็นผลงานศิลปะที่ผู้คนทุกชนชั้นหลงรักและเข้าถึงได้ไม่ยาก
ในช่วงปี 1981 แฮริ่งเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากผลงานภาพวาดกราฟฟิตี้ลายเส้นชอล์ก รูปคน สุนัข และภาพลายเส้นเก๋ไก๋บนกระดานดำติดป้ายโฆษณาในสถานีรถไฟใต้ดินของนิวยอร์ก เขากล่าวว่า
“วันหนึ่งในขณะที่กำลังนั่งรถไฟใต้ดิน ผมเห็นพื้นที่ว่างบนกระดานดำสำหรับติดป้ายโฆษณาในสถานี เวลานั้นผมตระหนักทันทีว่า นั่นเป็นที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับวาดภาพ”
หลังจากมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหมู่สาธารณชน เขาเริ่มสร้างสรรค์ผลงานขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่หลากสีสัน ที่คนว่าจ้างให้เขาทำหลายต่อหลายชิ้น ทำให้ผลงานของเขากลายเป็นที่รู้จักและจดจำอย่างกว้างขวาง
ภาพและข้อความในผลงานของเขาเรียบง่ายแต่บาดลึก วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรมได้อย่างทรงพลัง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรคเอดส์ การติดยา ความรักที่แหกขนบสังคม และการเหยียดสีผิว
ในฐานะศิลปินและนักเคลื่อนไหวทางสังคม แฮริ่งแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารประเด็นที่หนักหน่วงจริงจังก็สามารถเป็นอะไรที่สนุกสนานและสดใสได้เหมือนกัน
ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายสะอาดตา แฮริ่งวาดภาพที่แสดงเรื่องราวและรูปลักษณ์ที่ตรงข้ามกับศิลปะนามธรรม และคอนเซ็ปช่วลอาร์ตที่กำลังเฟื่องฟูในยุคก่อนหน้าอย่างสุดขั้ว และเปิดเส้นทางใหม่ๆ ในการทำงานศิลปะขึ้น
เขายังเป็นศิลปินคนแรกๆ ที่สร้างความเป็นไปได้ในการใช้สถานที่สาธารณะ ที่ปกติไม่ค่อยถูกใช้ทำงานศิลปะอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะศิลปะสื่อสารทางการเมืองกับผู้คนจำนวนมาก
เขายังยกระดับศิลปะบนท้องถนนให้ขึ้นไปมีพื้นที่ในหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินสตรีตอาร์ตและกราฟฟิตี้รุ่นหลังอย่างมาก
ตลอดอาชีพการทำงานอันรุ่งโรจน์และแสนสั้นของเขา ในช่วงยุค 1980s ผลงานของเขาถูกแสดงในนิทรรศการเดี่ยวและกลุ่มกว่า 100 นิทรรศการ
ในปี 1986 เพียงปีเดียว มีเรื่องราวของเขาลงตีพิมพ์สื่อหนังสือพิมพ์และนิตยสารกว่า 40 ฉบับ
เขาถูกเชื้อเชิญให้ร่วมงานในโครงการต่างๆ กับศิลปินทั้งในแขนงเดียวกันและต่างแขนงมากหน้าหลายตา ทั้งแอนดี้ วอร์ฮอล, เจนนี โฮลเซอร์ (Jenny Holzer), โยโกะ โอโนะ ไปจนถึงนักร้องนักแสดงอย่างมาดอนน่า, เกรซ โจนส์ ฯลฯ
ด้วยการนำเสนอประเด็นทางเพศที่พัฒนาไปสู่ประเด็นทางสังคมการเมือง ทั้งแนวคิดเรื่องการเกิด ความตาย ความรัก เซ็กซ์ และสงคราม ด้วยเส้นสายอันเรียบง่าย และการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เขาสามารถดึงดูดผู้ชมในวงกว้าง และสามารถสื่อสารประเด็นต่างๆ ผ่านภาพวาดได้อย่างทรงพลัง
ผลงานของเขากลายภาษาทางภาพอันโดดเด่นเป็นสากลและเป็นที่จดจำมากที่สุดในศตวรรษที่ 20
แฮริ่งยังอุทิศตัวให้กับการทำงานสาธารณะที่สอดแทรกประเด็นทางสังคมและการเมืองอย่างชัดเจน ระหว่างปี 1982-1989 เขาผลิตผลงานศิลปะสาธารณะมากกว่า 50 แห่งในหลายเมืองทั่วโลก ผลงานหลายชิ้นเป็นงานสาธารณกุศลที่เขาทำให้มูลนิธิ, โรงพยาบาล, ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นภาพฝาผนัง Crack is Wack (1986) ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดในนิวยอร์ก
หรือภาพฝาผนังที่วาดในโอกาสเฉลิมฉลอง 100 ปี อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในปี 1986 ที่เขาทำร่วมกับเด็กๆ จำนวน 900 คน
หรือภาพฝาผนังบนอาคารโรงพยาบาลเด็ก Necker ที่ปารีสในปี 1987 และภาพฝาผนังที่เขาวาดบนกำแพงเบอร์ลินฝั่งตะวันตก ก่อนที่กำแพงจะถูกทลายไปในอีก 3 ปีให้หลัง
เขายังทำเวิร์กช็อปศิลปะร่วมกับเด็กๆ ในโรงเรียนและพิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์ก, อัมสเตอร์ดัม, ลอนดอน, โตเกียว และบอร์โดซ์ และสร้างสรรค์สื่อเพื่อการเรียนรู้สำหรับโครงการสาธารณะอีกมากมาย
ในปี 1988 คีธ แฮริ่ง ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเอดส์ หลังจากนั้นในปี 1989 เขาก่อตั้งมูลนิธิ Keith Haring Foundation ขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อหาทุนสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้แก่องค์กรโรคเอดส์และโครงการของเด็กๆ ผ่านการจัดนิทรรศการศิลปะ, สื่อสิ่งพิมพ์ และการขายลิขสิทธิ์ผลงานของเขา
ในช่วงท้ายของชีวิต เขาออกบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับอาการป่วยของตนเอง และสร้างผลงานที่สื่อสารประเด็นเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกันและโรคเอดส์ เพื่อสนับสนุนการมีเซ็กซ์อย่างปลอดภัย และเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ ผ่านสัญลักษณ์อันโดดเด่นในผลงานของเขา
คีธ แฮริ่ง เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจากโรคเอดส์ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1990 ด้วยวัยเพียง 31 ปี
ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิต ชื่อของเขายังคงถูกกล่าวขานถึงอยู่เรื่อยมา
ในปี 2014 เขาเป็นหนึ่งในผู้ได้รับเกียรติให้ประทับชื่อบน Rainbow Honor Walk หรือถนนแห่งเกียรติยศของชาว LGBTQ ในซานฟรานซิสโก จากการเป็นชาว LGBTQ ผู้สร้างคุณูปการสำคัญบนเส้นทางของตัวเอง
ในปี 2019 เขาได้รับการยกให้เป็นหนึ่งใน 50 นักบุกเบิกและวีรบุรุษคนสำคัญชาวอเมริกัน ผู้ถูกจารึกชื่อบนกำแพงแห่งเกียรติยศแห่งชาติอเมริกันของชาว LGBTQ ที่อนุสาวรีย์แห่งชาติ Stonewall National Monument (SNM) ใน Stonewall Inn กรีนิชวิลเลจ นิวยอร์ก
ผลงานของเขายังคงถูกพบเห็นได้ในนิทรรศการและคอลเล็กชั่นของพิพิธภัณฑ์ชั้นนำทั่วโลก รวมถึงปรากฏให้เห็นในสื่อร่วมสมัยต่างๆ นับไม่ถ้วน จวบจนกระทั่งทุกวันนี้
ข้อมูล www.haring.com, https://bit.ly/2W1cJH3, https://bit.ly/2YzBtrs