โตโยต้า คัมรี “Extremo” เก๋งใหญ่อารมณ์สปอร์ต

เฉี่ยวไปเฉี่ยวมานานหลายเดือนเหลือเกิน ในที่สุดผมก็ได้มีโอกาสสัมผัส “โตโยต้า คัมรี Extremo” หลังเปิดตัวโฉมไมเนอร์เชนจ์ เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

คัมรี รุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้บอกเลยว่าแปลกไปกว่ารุ่นก่อนๆ หน้านี้ เนื่องจากปรับลดราคาลงในบางรุ่นย่อย

เรื่องของเรื่องเพื่อเปิดศึกซดกับคู่แข่ง “ฮอนด้า แอคคอร์ด” ซึ่งเปิดรุ่นไมเนอร์เชนจ์ก่อนหน้าราวๆ 2 เดือน

สำหรับรุ่น “Extremo” โตโยต้า ส่งออกมาเพื่อเจาะตลาดผู้บริหารรุ่นใหม่มากขึ้น เรียกว่าเป็นกลุ่มคนที่ชอบรถแต่งสวยๆ ไม่ดูผู้ใหญ่หรือวัยรุ่นจ๋าเกินไป

โดยเลือกนำรถรุ่น “2.0 G” ซึ่งเป็นตัวขายหลักมาเพิ่มออปชั่นและเติมชุดแต่งให้ดูกระฉับกระเฉงขึ้น

ส่วนราคาก็แพงกว่ารุ่น “2.0 G” อยู่แสนนิดๆ

แต่หากดูอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมเข้ามาแล้วถือว่าคุ้มค่าอย่างแรง

กระจกมองข้างติดตั้งไฟเลี้ยวระบบปรับไฟฟ้าพร้อมมุมมองกว้าง, ระบบบันทึก, Reverse Link และ Auto Retractable ซึ่งจะปรับองศาต่ำลงเวลาเข้าเกียร์ถอย เพื่อเห็นมุมมองด้านล่างที่เป็นจุดบอด

ไฟท้ายแบบ LED รมดำ เพิ่มความสปอร์ต มีเส้นโครเมียมคาดขวาล้อไปกับด้านหน้า พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 กระโปงท้ายมีสัญลักษณ์ “Extremo”

ต่ำลงมาเป็นท่อไอเสียคู่วางแยกอยู่คนละฝั่ง

ล้ออัลลอยลายใหม่เฉพาะ “Extremo” 17 นิ้ว หุ้มด้วยยางขนาด 215/55

รอบคันติดตั้งชุดแต่ง “Extremo” ทั้งสเกิร์ตหน้า-หลัง-ข้าง สปอยเลอร์หลัง

ในส่วนของฝากระโปรงหน้าเป็นอีกจุดที่เพิ่มความสะดวกเวลาเปิดเพราะใช้ระบบโช้กอัพ ที่หัวโช้กอัพด้านหน้าติดตั้งค้ำโช้กมาให้ด้วย

ภาพรวมถือว่าดูดีได้ทั้งความหรูและสปอร์ตในที

ภายในเน้นโทนดำตัดด้วยลายไม้สีเข้ม พวงมาลัย 3 ก้านเดินด้ายแดงพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น เรือนไมล์ขนาดใหญ่แยกเป็น 2 วงกลมซ้าย-ขวาเรืองแสง (Optitron) สีม่วงดูสปอร์ตเท่ๆ ตัดขอบโครเมียม ระหว่างกลางเป็นจอ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว แสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID

ขยับมาตรงกลางเป็นจอทัชสกรีนแสดงภาพจากกล้องมองหลัง ระบบนำทางและวิทยุเครื่องเล่นดีวีดี 1 แผ่น รองรับ “ที-คอนเน็กต์” ลำโพง เจบีแอล 12 ตัวติดตั้งไว้รอบคัน

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา

คันเกียร์ขนาดกระชับมือหุ้มด้วยถุงหนังเดินด้ายแดง ใกล้ๆ กันเป็นช่องวางแก้วน้ำแบบมีฝาเปิด-ปิด

ช่องเก็บของซึ่งเป็นที่เท้าแขนมีขนาดใหญ่ เนื่องจากไม่มีด้ามเบรกมือมาเกะกะ เนื่องจากย้ายไปอยู่บริเวณเท้าซ้ายเมื่อเหยียบลงไปจะเป็นการดึงเบรกมือ เหยียบอีกครั้งเพื่อปลดเบรก

มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังให้ด้วย ขณะที่กระจกหลังมีม่านบังแดดไฟฟ้าเปิด-ปิดได้จากด้านหน้า ส่วนบังแดดบริเวณกระจกประตูหลังใช้ระบบ “อัตโนมือ” ดึงขึ้น-ลง

เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ด้านคนขับมีตัวดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่และกระจกมองข้าง เพิ่มความสะดวกในกรณีขับกันหลายๆ คน จะได้ไม่ต้องมาปรับไปปรับมาให้เสียเวลา

เครื่องยนต์ 6AR-FSE แบบ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว VVT-i W& D-4S ความจุ 1,998 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 167 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 199 นิวตัน-เมตร ทำงานควบคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด แบบ Sequential Shift

ความปลอดภัยครบๆ อาทิ ถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 ตำแหน่ง คู่หน้า ด้านข้าง ม่านด้านข้าง หัวเข่าด้านคนขับ

ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control)

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control)

ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control)

ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)

ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert)

สัญญาณไฟกะพริบเมื่อเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal) ฯลฯ

รุ่นนี้ใช้กุญแจนิรภัย Immobilizer เป็นรีโมตพกติดตัวมีปุ่มเปิด-ปิดที่มือจับประตู การเปิดเพียงเอื้อมไปที่มือจับจะคลายล็อกอัตโนมัติ พร้อมกับกระจกมองข้างจะกางออก ส่วนตอนปิดต้องกดปุ่มเบาๆ ระบบจะล็อกพร้อมกับกระจกมองข้างจะพับเก็บ

ด้านในโอ่โถงแม้จะใช้สีโทนดำก็ไม่อึดอัด พื้นที่เหนือศีรษะมีให้เหลือเฟือ เช่นเดียวกับที่นั่งตอนหลังสบายแม้ต้องเดินทางไกลเนื่องจากเบาะนั่งกว้างกำลังเหมาะ และพนักพิงเอนกำลังดี ที่วางเท้าก็เหลือๆ แม้จะนั่งหลังคนขับก็ตาม

เบาะนั่งโอบกระชับร่างพอดี

กดปุ่มติดเครื่องยนต์เสียงเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างน้อย แม้จะเป็นเครื่อง 2.0 ลิตร แต่ไม่ต้องกังวลเพราะตีนต้นพุ่งพอตัว อัตราเร่งไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องเค้นจนถึงราวๆ 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถึงจะเริ่มช้าลง

เสียงจากเครื่องยนต์และล้อบดถนนในระดับ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แทบไม่ได้ยิน ยิ่งหากเปิดเครื่องเสียงสักหน่อย ต้องทะยานถึงสัก 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงถึงจะเริ่มมีเสียงแทรกเข้ามาบ้าง

ความนิ่มนวลของช่วงล่างถือว่ากำลังเหมาะ แต่ไม่ถึงกับยวบทำให้การเข้าโค้ง หรือกระชากเปลี่ยนเลนแรงๆ ไม่มีอาการวอกแวก

ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง ช่วยเรื่องความปลอดภัยได้เยอะเวลาจะเปลี่ยนเลน เพราะมีสัญญาณเตือนหากมีรถอยู่ในรัศมีอันตรายโดยเป็นดวงไฟวาบขึ้นมา

ยิ่งหากเปิดไฟเลี้ยวแล้วมีรถวิ่งตามมาด้านข้างไฟจะกะพริบถี่ๆ เพื่อเตือนผู้ขับขี่
ส่วนระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย หรือ “แพดเดิลชิฟต์” เพิ่มความสะดวกให้ยามต้องการเชนจ์เกียร์เพื่อลดความเร็ว หรือช่วยให้รถกระชับขึ้นเวลาเข้าโค้ง

หรือใครอยากได้อารมณ์แบบขับรถเกียร์ธรรมดา ก็ตบคันเกียร์เข้าหาตัวเพื่อผลักขึ้น (+) และลง (-) ก็ตามถนัด

การขับขี่ตอนกลางคืนถือเป็นความสุนทรีย์อย่างยิ่ง เพราะไฟจากหน้าปัดที่ออกสีม่วงดูสวยจริงๆ เช่นเดียวกับจอทัชสกรีนก็เป็นสีเดียวกัน

ขณะเดียวกันเพิ่มความเท่เล็กๆ ด้วยไฟส่องสว่างบริเวณที่วางเท้า

นอกจากนี้ บริเวณใต้ประตูคู่หน้า เมื่อเปิดออกจะมีไฟส่องลงพื้นซึ่งมีตัวอักษร “Extremo” อยู่ตรงกลาง ดูดีมีชาติตระกูลและยังปลอดภัยเวลาขึ้น-ลงตอนกลางคืนด้วย

การเข้าเกียร์ถอยกล้องด้านหลังจะส่งภาพพร้อมเส้นกะระยะมาที่จอด้านหน้า เพิ่มความสะดวก

โตโยต้า คัมรี “Extremo” เป็นรถรุ่นใหญ่ที่ถือว่าลงตัวเหมาะกับทั้งผู้บริหารหรือวัยรุ่นที่อยากได้รถใหญ่สักหน่อย แต่ยังแฝงความสปอร์ตไว้ด้วย นอกจากนี้ ให้ทุกอย่างมาแบบครบๆ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีกแล้ว

สนนราคา 1,489,000 บาท ต้องบวกชุดแต่งพิเศษ “Extremo” อีก 36,000 บาท

รวมแล้ว 1,525,000 บาท