เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์/ โลก กับ ธรรม

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

โลก กับ ธรรม

ตอนที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาหลังวันพระใหญ่ “วันมาฆบูชา” 1 วัน และก่อนวันแห่งความรัก วันที่ 14 กุมภาพันธ์ อยู่ 6 วัน

ซึ่งสองวันที่ว่านี้ วันหนึ่งเป็นวันเกี่ยวกับทางธรรม ส่วนอีกวันหนึ่งเกี่ยวกับทางโลก

ที่ดูเหมือนว่าเป็นคนละด้าน “โลก” กับ “ธรรม”

แต่จริงๆ แล้ว ทั้งสองอย่างนี้เชื่อมโยงกันและเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

“ทางโลก-ทางธรรม”

เพราะ “ธรรมะ” ที่เกิดขึ้นมาโดยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็เพื่อเป็นปัญญาให้กับมนุษย์ที่มีชีวิต และอาจจะเวียนว่ายตายเกิดมาเป็น “คน” ไม่รู้จะกี่ภพกี่ชาติได้เข้าถึง เพื่อจะได้เป็น “มนุษย์ที่แท้” หรือเป็น “คนที่ดี” นั่นเอง

ส่วนทางโลกนั้น คนเราจะอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ได้อย่างไร หากไม่มี “ธรรมะ” เป็นตัวกำกับที่ดีที่สุด

ที่มนุษย์เราต้องลำบากออกกฎหมายขึ้นมา เพื่อเป็นระเบียบในการอยู่ร่วมกันและลงโทษผู้กระทำผิดก็เพราะมีคนที่ไม่มี “ธรรมะในหัวใจ” ลุกขึ้นมาทำผิดต่างๆ นานา ตั้งแต่ผิดมากไปผิดน้อย ตั้งแต่ผิดโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ตั้งแต่ผิดเพราะบกพร่องโดยสุจริตหรืออย่างไรก็ตามที

ลองคิดดูว่า ถ้าเราอยู่ร่วมกันด้วยจิตใจที่ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน อยู่ร่วมกันอย่างมีความรักมีเมตตาต่อกัน มีจิตใจที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข ไม่เดือดร้อนเพราะเรา เราก็คงไม่ต้องลำบากลำบนมาเสนอกฎหมายต่างๆ เข้าสภา เพื่อให้เสียบบัตรแทนกันเป็นเรื่องสนุกเช่นที่เป็นมาแล้ว

แต่เพราะเราอยู่ในโลกที่บิดเบี้ยว และคนยัง “ไม่รู้” อะไรอีกมาก เราจึงต้องมี “ธรรม” มากำหนดสติ กำหนดจิตใจ

 

แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ความสะเทือนใจกับคดี “ยิงกราดในห้างที่โคราช” ยังคงได้รับความสนใจ และสร้างผลกระทบให้กับสังคมและผู้คนอย่างมากอยู่ไม่น้อย

น่าตกใจว่า ในวันพระใหญ่ ที่เป็นวันที่มนุษย์อย่างเราน่าจะตั้งสติ ทำจิตใจให้สะอาด ลด ละ เลิก กิเลสตัณหาต่างๆ กลับมีคนที่ลุกขึ้นมาควงปืนยิงคู่กรณีตาย แล้วปล้นเอาอาวุธสงครามมาฆ่าคนอีกร่วม 30 คน

คำถามคือ…มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมเรา

เป็นไปได้ไหมว่า หากชายผู้นั้น รู้จักวิธีที่จะระงับความโกรธ ระงับโทสะ รู้จักสลัดความเคียดแค้น และรู้จักให้อภัย เรื่องเลวร้ายเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

ถ้าเพียงแต่เขามี “เมตตา” ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทุกอย่างก็จะจบ

เคยมีคนที่ผมรู้จักต้องทำรายงานเกี่ยวกับพุทธศาสนาระดับปริญญาเอก ขอสัมภาษณ์ผมในหัวข้อ “ธรรมะกับจริยธรรมของสื่อมวลชน”

ชื่อแนววิชาการมากเลยนะครับ

เขาถามว่า ในฐานะคนทำสื่อมวลชนที่มีผลกระทบต่อสังคมมาก คิดว่าจะใช้หลักธรรมะข้อไหนมาช่วยกำกับการทำงานได้บ้าง

ผมตอบไปว่า ใช้หลักแค่ข้อเดียวก็อาจจะตอบได้ทุกปัญหา นั่นคือ “ความเมตตา”

ผมบอกว่า ถ้าเราเป็นคนทำสื่อที่มีความเมตตา เราก็จะทำเนื้อหาหรือชิ้นงานที่ส่งต่อไปหาผู้ชมอย่างมีเมตตา เมตตาว่าเขาควรจะได้รับแต่สิ่งดีๆ เมตตาว่าเขาไม่ควรจะพบเห็นในเรื่องผิดทำนองคลองธรรม

จะเสนอข่าวอะไร จะเสนอรายการแนวไหน จะให้ตัวละครพูดอะไรทำอะไร หากยึดหลักความเมตตาเหมือนผู้ชมเป็นคนในครอบครัวเราแล้ว ก็คงจะไม่มีข้อร้องเรียน ข้อกังขา และไม่มีผลกระทบที่เลวร้ายต่อผู้ชมแน่นอน

เรื่องความเมตตานี้ น่าจะตอบโจทย์กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราต้องพบเจอในช่วงที่ผ่านมาได้เช่นกัน

 

ในกรณีของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ที่ก่อเรื่องที่โคราช ตามข่าวคือเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคนที่เขาไปสังหาร เพราะถูกเอาเปรียบ ถูกโกงจนเกิดโทสะต้องแก้แค้นถึงชีวิต

หากผู้ถูกจักรพันธ์สังหารเพียงแต่มีเมตตา เขาก็คงจะไม่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ หรือสร้างความเสียหายให้กับจักรพันธ์จนเกิดเรื่องเกิดราวใหญ่โตตามมาเช่นนี้

หากจักรพันธ์มีเมตตา แม้จะโดนเอาเปรียบก็อาจจะหาทางออกที่ดีกว่าที่ทำไป

หากจักรพันธ์มีเมตตา หากบันดาลโทสะจนฆ่าคู่กรณีไปแล้ว ก็คงไม่ต้องฆ่าใครที่ไม่รู้จักอีกเป็นสิบๆ คน

ย้อนไปกรณีของ ผอ.กอล์ฟ หากเขามีเมตตา เรื่องที่ว่าก็คงไม่เกิด

หรือนายไอซ์หีบเหล็ก ที่ฆ่าคนและเอาร่างยัดใส่ในหีบเหล็กมาแล้วหลายคน ก็คงไม่คิดทำเรื่องเลวร้ายขึ้นแน่ หากเขามีเมตตาต่อผู้หญิงเหล่านั้น

ย้อนไปกรณีของ “สมคิด-ฆาตกรต่อเนื่อง” ที่เพิ่งเป็นข่าวไปเมื่อปลายปี ก็เช่นกัน

หรือ เปรี้ยวหั่นศพ ก็ใช่…

คงดีเป็นแน่หากในระดับครอบครัว รู้จักการใช้ “เมตตาธรรม” กำหนดวิธีคิดและวิธีทำตัวแก่กัน พ่อ-แม่มีความรัก มีเมตตากับลูกก็ต้องสอนลูกให้รู้จักมีเมตตากับผู้อื่น

การรักคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกันในสังคมได้

ที่เรามักรู้สึกว่าคนสมัยนี้เอาแต่ตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น ไม่เห็นว่าเขามีชีวิตจิตใจเช่นกันกับเรา ก็เพราะการขาดความรักความเมตตานั่นเอง

 

เนื่องในวันมาฆบูชาที่ผ่านพ้นไป ที่จริงๆ แล้วไม่ใช่เราจะมีสติ คิดดีทำดี เฉพาะวันพระหรอก ควรจะต้องทำทุกวัน ทุกนาที ทุกลมหายใจเข้าออกด้วยซ้ำ ก็อยากให้ทุกคนมีธรรมะช่วยกำหนดจิตใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะสามารถเข้าใจ และก้าวข้ามผ่านมันไปได้ ทั้งสุขและทุกข์

เนื่องในวันแห่งความรักที่มาถึง ก็อยากให้ทุกคนมีความรักในตัวเอง และมีความเมตตากับผู้อื่น

หากเรารักตัวเอง เราก็จะไม่เบียดเบียนตัวเองด้วยความทุกข์จากสาเหตุต่างๆ

หากเรามีเมตตากับผู้อื่น เราก็จะไม่ทำร้ายเขา ไม่ทำให้เขาเดือดร้อน และให้สิ่งดีๆ กับเขา

สุดท้ายนี้ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้สูญเสียทุกท่าน รวมทั้งครอบครัวของ จ.ส.อ.จักรพันธ์เองด้วย

และขอให้ทุกคนมีสติ ประคองจิตใจ ให้ผ่านเรื่องเลวร้ายไปให้ได้

นี่ผมไม่ได้พูดเรื่องศึกซักฟอกในสภาฯ แต่อย่างใดนะครับ โปรดเข้าใจ