คำ ผกา : มีลูกเพื่อชาติ

คำ ผกา

กระทรวงสาธารณสุขออกโครงการในชื่อน่ารักน่าชังว่า

“ส่งเสริมสาวไทยแก้มแดง มีลูกเพื่อชาติ ด้วยวิตามิน แสนวิเศษ”

ซึ่งรายละเอียดของโครงการคือ ให้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่อยากมีลูกไปรับธาตุเหล็กและโฟลิก และเป็นหนึ่งในแนวนโยบายที่ต้องการเพิ่มอัตราการเกิดให้สูงขึ้น

นโยบายเร่งเพิ่มอัตราการเกิดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากเลย เพราะหลายๆ ประเทศในโลกนี้ล้วนแต่เผชิญกับวิกฤตของอัตราการเกิดต่ำ และช่วงอายุขัยของประชากรที่ยืนยาวขึ้นเรื่อยๆ

นั่นแปลว่า เรากำลังเผชิญกับ aging society หรือสังคมผู้สูงวัยโดยทั่วหน้า และทำให้การจัดการปัญหาทางประชากร ต้องทำควบคู่กันไปทั้งการดูแลสวัสดิการ ความสุข คุณภาพชีวิต หรือเพิ่มโอกาสในการทำงานของผู้สูงวัยที่ยังไม่หมดไฟกับชีวิต

ขณะเดียวกันก็ต้องคิดเรื่องปัญหาการขาดแคลนประชากรวัยแรงงาน

ซึ่งทางออกมีทั้งพิจารณานำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ พัฒนาหุ่นยนต์ และกระตุ้นอัตราการเกิดของพลเมือง

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เราไม่ลืมว่า เรื่อง “เพศ” หรือ sexuality ของเรานั้นมันไม่เคยเป็นเรื่อง “ส่วนตัว”

การร่วมเพศในห้องส่วนตัวของเราก็ไม่เคยหลุดพ้นจากการยุ่มย่ามเข้ามาจัดการมันทางใดทางหนึ่งจากรัฐอยู่เสมอ

และมดลูกของผู้หญิงในสายตาของรัฐสมัยใหม่ ไม่ได้เป็นของผู้หญิงเหล่านั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ “สมบัติ” ที่รัฐต้องเข้ามาจัดการ เช่น แจกโฟลิกกับธาตุเหล็ก

หรือหากในทางกลับกันก็แจกยาคุมฟรี ใส่ห่วงยางอนามัยฟรี ฉีดยาคุมฟรี เมื่อรัฐรู้สึกว่าต้องควบคุมปริมาณของประชากร

 

เหตุที่รัฐต้องเข้ามายุ่มย่ามกับมดลูกของผู้หญิง เนื่องจากมดลูกนั้นมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของรัฐสมัยใหม่ นั่นคือ “พลเมือง” ปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และคุณภาพของพลเมืองย่อมหมายถึงผลิตภาพทางเศรษฐกิจของรัฐชาตินั้น

ที่สำคัญ “จิตใจและอุดมการณ์” ของพลเมืองก็สะท้อนความมั่นคงแห่งอำนาจรัฐด้วย

เช่น รัฐเผด็จการย่อมระแวดระวังมิให้เกิดการเลี้ยงดูเยาวชนของชาติในทางที่เป็นศัตรูหรือการลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจรัฐ

ในแง่นี้ นอกจากมดลูกของผู้หญิงจะถูก “บริหารจัดการ” ผ่านนโยบายสาธารณสุขด้านสุขอนามัยเจริญพันธุ์และบทบาทของความเป็นแม่ก็ย่อมถูกกำกับให้สอนลูกให้อยู่ในร่องในรอย ไม่สอนลูกให้กลายเป็นกบฏ หรืออย่างน้อยรัฐก็ใช้ “แม่” ในฐานะที่เป็น “ครูคนแรกของลูก”

เป็นเครื่องมือในการกล่อมเกลาเด็กให้เป็นพลเมืองที่ไม่สร้าง “ปัญหา” ให้กับชาติ

และดังที่เขียนไว้ในหลายๆ แห่งว่า เพราะรัฐเห็น “มดลูก” ในฐานะที่เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของรัฐในยามสงครามหรือในความขัดแย้งที่ต้องสู้รบกันระหว่างคนสองกลุ่มที่เกลียดชังกันมากๆ

สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอคือการข่มขืนผู้หญิงของฝ่ายตรงกันข้าม

เพราะโดยนัยของมันคือการทำลาย “มดลูก” หรือทำให้ “มดลูก” นั้นแปดเปื้อน “เชื้อ” ของศัตรู ไม่สามารถสืบทอดความ “บริสุทธิ์” ของเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของตนเองได้

มดลูกของผู้หญิงในสายของรัฐจึงยืดๆ หดๆ ในยุคที่เชื่อว่าประชากรจะล้นโลกและเราจะผลิตอาหารมาไม่ทันเลี้ยงประชากร รัฐก็จะมีแคมเปญให้ผู้หญิงคุมกำเนิด

ครานี้ปรากฏว่า นอกจากอาหารจะไม่ขาดแคลนแล้วยังผลิตได้มากขึ้นจากพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ในอนาคตเราแทบจะผลิตเนื้อและนมโดยไม่ต้องมีวัว ไม่มีทุ่งหญ้า แต่ผลิตจากห้องแลปได้เลย

นอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เทคโนโลยีการคุมกำเนิดได้เปลี่ยนชีวิตของมนุษย์ไปแล้วโดยสิ้นเชิง

 

ก่อนมีนวัตกรรมยาเม็ดคุมกำเนิด มนุษย์มองว่าเหตุผลที่ต้องมีเซ็กซ์ก็เพื่อการสืบเผ่าพันธุ์

ดังนั้น เซ็กซ์ที่ถูกต้องคือเซ็กซ์เพื่อทำลูก จึงไม่จำเป็นต้องพลิกแพลง หฤหรรษ์ หรือใส่ใจเรื่องจุดสุดยอด

มิหนำซ้ำ เซ็กซ์และการร่วมเพศยังอาจต้องแบกความกังวลใจไปด้วยพร้อมๆ กัน

สำหรับบางครอบครัวหรือบางชนชั้นที่การมีลูกหรือไม่มีลูก การมีลูกสาวหรือลูกชาย อาจหมายถึงทั้งหมดของอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า

เช่น การเป็นชายาเจ้าเมืองที่ไม่มีลูกชายเป็นรัชทายาท ย่อมหมายถึงความเครียดและความกดดันอย่างมหาศาล และคงไม่สามารถมองเซ็กซ์เป็นเพียงกิจกรรมของความรักอันรื่นรมย์เท่านั้น

แต่ยาเม็ดคุมกำเนิด ทำให้การมีเซ็กซ์กับการสืบพันธุ์ แยกออกจากกันได้โดยสิ้นเชิง

เมื่อมียาคุมกำเนิด ฟังก์ชั่นของเซ็กซ์จึงเหลือเพียงแค่การเป็นกิจกรรมที่ปัจเจกบุคคลสามารถสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อตอบสนองแฟนตาซี ความปรารถนาของตนเองได้ไม่มีที่สิ้นสุด

นิตยสารผู้หญิง ผู้ชาย คอลัมน์เรื่องเพศ ต่างพากันตีพิมพ์กลเม็ดเคล็ดลับเพื่อความสุขสมบนเตียงกันจนเป็นอุตสาหกรรมผลิต how to ว่าด้วยเรื่องเซ็กซ์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

ไม่นับการมีเซ็กซ์กับเซ็กซ์ทอย กับหุ่นยนต์ หรือการมีความสุขทางเพศโดยการเสพผ่าน AR, VR ที่ผสานโลกความจริง โลกเสมือน ดังที่เราคุ้นเคยกับการเล่นเกมต่างๆ มาแล้ว

ตรงกันข้าม เทคโนโลยีผสมเทียมในหลอดแก้วชนิดต่างๆ ที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนตามไม่ทัน ก็สามารถทำให้คนมีลูกสืบพันธุ์ได้โดยไม่ต้องมีเซ็กซ์เลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ การแต่งงานหรือการใช้ชีวิตคู่ของคนหลังนวัตกรรมยาคุมกำเนิดคือการมีคู่ชีวิตที่มีเซ็กซ์เพื่อความสุขและไม่จำเป็นต้องมีลูก อีกทั้งไม่คิดเรื่องการมีลูกอีกต่อไป

เพราะไม่จำเป็นต้องมีลูกเพื่อเอาไว้ดูแลเรายามแก่เฒ่า เนื่องจากไม่มีอะไรรับประกันว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่การลงทุนกับกองทุนเพื่อชีวิตหลังเกษียณอาจให้ความมั่นใจได้มากกว่า

เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า สิ่งประดิษฐ์ เครื่องทุ่นแรง เครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลาย ตั้งแต่เครื่องครัว เครื่องดูดฝุ่น ต่างๆ นานา ทำให้มนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งมนุษย์ด้วยกันมากเท่าไหร่

ฉันกำลังจะบอกว่า บางครั้งการแต่งงานในสมัยก่อน ก็เกิดจากความจำเป็นที่เราต้องการสมาชิกในครอบครัวเพื่อมาช่วยกันทำงานคนละไม้คนละมือ

หรือแม้แต่ความกลัวที่จะต้องตายอย่างโดดเดี่ยวตามลำพังก็เป็นอีกแรงผลักดันหนึ่งที่ทำให้คนคิดว่าตัวเองต้องมีคู่มีครอบครัว

แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีและการบริการต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น คนก็มีทางเลือกที่จะเป็นโสด (แต่อาจมีคู่นอนได้เรื่อยๆ) และไม่มีลูกก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

 

ประเทศในสแกนดิเนเวีย ซึ่งได้นำร่องนโยบายกระตุ้นอัตราการเกิดหลายปี แม้จะประเคนทุกสวัสดิการทั้งเงินก้อนใหญ่เมื่อแรกคลอด เรียนฟรีถึงมหาวิทยาลัย บ้านฟรี ลดภาษี ศูนย์เลี้ยงเด็ก วันลาคลอดของทั้งพ่อทั้งแม่ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นอัตราการเกิด

ซึ่งผลการวิจัยบอกว่า ตัวแปรสำคัญของประเทศกลุ่มนี้คือ สมดุลของการดูแลลูก ทำงานบ้านระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย

ถ้าครอบครัวไหนผู้ชายไม่ค่อยแชร์เรื่องการทำงานบ้าน ไม่มีแนวโน้มว่าจะช่วยเลี้ยงลูก ผู้หญิงมักจะตัดสินใจที่จะไม่มีลูกหรือมีแค่คนเดียว

ญี่ปุ่นเองก็ทุ่มทั้งบริการ สวัสดิการ ทั้งเร่งช่วยปรับปรุงเรื่องบริการ พยายามสนับสนุน sme บริษัทจัดหาคู่ เรียกว่าเป็นวาระแห่งชาติกันต่อเนื่องมาหลายปีเรื่องพยายามกระตุ้นให้คนมีลูกให้มากขึ้น เพราะภาวะขาดแคลนแรงงานมาแน่ๆ และยังทำใจไม่ได้กับการจ้างแรงงานคนต่างชาติ

แต่ก็ดูเหมือนว่าอัตราการเกิดก็ยังไม่กระเตื้องอยู่ดี

เพราะไม่เพียงแต่คู่แต่งงานจะมีลูกแค่คนเดียวหรือไม่มีเลย คนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นกำลังมีแนวโน้มใช้ชีวิตแบบนักบวชกันมากขึ้น กินอยู่สมถะ แบบซูเปอร์ มินิมัล เช่น ทั้งห้องพักมีของไม่เกิน 15 ชิ้น มีเสื้อผ้าแค่สามชุด มีจานแค่ 1 ใบ เป็นต้น

คนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มสนใจการออกเดตน้อยลง ชอบอยู่คนเดียวหรือกับเพื่อนวัยเดียวกัน เพศเดียวกัน มากกว่าจะอยากมีแฟน

ผู้ชายที่เรียกว่า “ผู้ชายกินหญ้า” คือผู้ชายที่ไม่สนใจและไม่อยากมีเซ็กซ์กับใครเลย เปรียบประหนึ่งสัตว์ล่าเนื้อที่ไพล่ไปกินแต่หญ้า เลยเป็นที่มาของคำว่า ผู้ชายกินหญ้า

คนกลุ่มนี้ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นับว่าอุปสรรคของการเพิ่มจำนวนประชากรของญี่ปุ่นอยู่ การที่โลกแห่งการทำงานไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ตั้งท้อง และทำงาน

แม้จะพยายามบอกว่า สังคมญี่ปุ่นจะส่งเสริม womenomics หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยผู้หญิง

แต่ในทางปฏิบัติ มีผู้หญิงท้องและมีลูกน้อยคนมาก ที่สามารถกลับไปทำงาน และได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งได้รับการยอมรับ แทบจะไม่มีเลย โดยมากผู้หญิงชนชั้นกลาง การศึกษาปานกลาง เมื่อมีลูกแล้วก็ต้องยอมเสียสละชีวิตการงานแล้วออกมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว

สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ก็มีโปรโมชั่นส่งเสริมให้คนมีลูกชนิดที่อ่านแล้วอยากตั้งท้อง ณ บัดนาว แต่ดูเหมือนว่ามีน้อยประเทศมากที่จะประสบความสำเร็จในการเพิ่มอัตราการเกิดอย่างมีนัยสำคัญ

 

การที่รัฐชาติสมัยใหม่จะเห็นมดลูกของพลเมืองหญิงเป็นทรัพยากรของชาติ ก็ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจอะไรนัก (ขณะเดียวกัน ผู้หญิงย่อมไม่หยุดที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิเหนือร่างกายของเธอ เช่น สิทธิในการคุมกำเนิด ในการตั้งครรภ์และยุติการตั้งครรภ์ ในการเลือกเพศสภาพ ฯลฯ)

แต่รัฐต้องเข้าใจว่า อัตราการเกิด หรือแรงจูงใจให้คนมีลูกหลายๆ คนนั้น มันไม่ใช่เรื่องของตัวเลข สถิติล้วนๆ

อีกทั้งในประเทศที่พ้นขีดความยากจนมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางนั้น การเสริมวิตามินแสนวิเศษ อาจไม่ได้ช่วยอะไรนัก เพราะคนมีอันจะกินทั้งหลายคงไม่ขาดวิตามินจนการตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์

แต่การแจกวิตามิน แปลว่า สธ. พุ่งเป้าไปที่แม่ๆ ที่ฐานะปานกลางค่อนไปทางต่ำ

ในเมื่อพุ่งเป้าไปที่กลุ่มหญิงด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ รัฐต้องคิดต่อไปได้ว่า นอกจากวิตามินแล้ว แม่กลุ่มนี้ต้องการอะไรอีก หากจะมีลูก

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องวางให้เห็นล่วงหน้าคือ หญิงเหล่านี้อยากรู้ว่า “รัฐ” จะช่วยพวกเธอเลี้ยงลูกอย่างไร อุดหนุนการศึกษาเท่าไหร่ เรียนฟรีกี่ปี ระบบประกันสุขภาพทั่วหน้าเป็นอย่างไร?

คุณภาพการศึกษาในประเทศนี้เป็นอย่างไร ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมีไหม? ฯลฯ

 

รัฐไม่สามารถส่งเสริมให้คนมีลูกได้โดยไม่ทำอะไรที่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า การเกิดมาในประเทศนี้เป็นความโชคดี เป็นความสุข เป็นความมั่นคงทางใจว่าชีวิตของเราปลอดภัยได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายอย่างเสมอภาค มาตรฐานเดียว มีประชาธิปไตย

พูดให้ง่ายคือ ประเทศที่ไม่มีหลักประกันอนาคตสำหรับลูก หลาน อยู่กันแบบนี้ก็ต้องถามกลับว่าแล้วใครอยากมีลูกบ้าง

อาจจะมีการเถียงว่า ในยุโรปมีโปรโมชั่นทุกอย่างแล้ว เมืองก็น่าอยู่มากแล้ว คนก็ยังไม่ยอมมีลูก

ซึ่งตามบริบทสังคมของเรามีปัญหาเชิงวัฒนธรรม นั่นคือ ปัญหาสังคม ชายเป็นใหญ่ เช่น การที่ผู้ชายปฏิเสธที่จะช่วยเลี้ยงลูก ทำงานบ้าน

พอรู้เช่นนี้ รัฐบาลเหล่านั้นจึงทำแคมเปญกันได้ถูกจุดมากขึ้น นั่นคือ นอกจากให้สวัสดิการยังต้องรณรงค์ว่า คุณพ่อบ้านทั้งหลายโปรดเปลี่ยนค่านิยม ออกมาช่วยเมียทำงานบ้านเลี้ยงลูกให้มากขึ้น

ถ้าทำได้ ผู้หญิงก็ตัดสินใจมีลูกเพิ่มได้ง่ายขึ้น

ของไทยก็เช่นกัน ถ้าอยากได้อัตราการเกิดเพิ่ม สิ่งแรกที่ต้องรีบทำไม่ใช่การแจกวิตามิน

แต่คือการลงมือสร้างสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย

ไม่ใช่เหมาะสำหรับเป็นที่ฆ่าตัวตายผ่อนส่งอย่างทุกวันนี้

นั่นคือ ต้องสร้างเมืองที่ปลอดภัย เมืองที่อากาศไม่เป็นพิษ เมืองสีเขียว ร่มรื่น เมืองที่มีความโรแมนติกให้คนได้เติมความอ่อนโยนในใจ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองไทยคือ เมืองที่ร้อน แห้งแล้ง เพราไม่มีต้นไม้ รถก็ติด รถเมล์ก็ซิ่ง เจอแบบนี้ทุกวัน บวกกับสภาพการณ์ทางการเมือง ก็เสี่ยงมากที่พลเมืองไทยจะก้าวเข้าสู่ความเป็นกามตายด้านในไม่ช้า และคงไม่มีโอกาสผลิตพลเมืองมาเป็นแรงงานและผู้เสียภาษีที่มีคุณภาพให้กับรัฐ

สำคัญที่สุด ในภาวะที่บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยก็ยากที่ใครอยากจะมีลูก เพราะมันขาดหลักประกันขั้นต่ำของชีวิตมนุษย์ นั่นคือ หลักประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ต้องได้รับการปกป้อง

เรื่องนี้ วิตามินวิเศษที่ไหนก็ช่วยไม่ได้เลย