ฐากูร บุนปาน | ให้กำลังใจกับกรมป่าไม้

วันนี้ตั้งใจเขียนเพื่อให้กำลังใจกับกรมป่าไม้โดยตรงครับ

เพราะนานๆ ที ถึงจะมีข้าราชการไทยที่กล้าหาญลุกขึ้นมา “ชน” กับผู้มีอำนาจ-ผู้มีอิทธิพลสักหน

ไม่ถือโอกาสให้กำลังใจกันครั้งนี้

ก็ไม่รู้จะต้องรอไปอีกเมื่อไหร่

เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะผ่านหูผ่านตากรณีที่ดินของคุณทวีและคุณปารีณา ไกรคุปต์ มาแล้ว

และสามารถเปรียบเทียบการทำงานของกรมป่าไม้ กับหน่วยราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับเรื่องนี้

ว่ามีจุดยืนแตกต่างกันขนาดไหน

การเอาจริงเอาจังกับการรุกพื้นที่ป่าสงวนฯ 46 ไร่ ที่มีโทษถึงขั้นจำคุก

เทียบไม่ได้กับท่าทีผ่อนปรนละมุนละม่อม ของการประกาศรังวัดที่ดินใหม่ของ ส.ป.ก.

หรือการอนุญาตให้คุณปารีณายื่นแก้ไขบัญชีทรัพย์สินได้อีกรอบของ ป.ป.ช.

วิธีการปฏิบัติประเภทหลังนี่แหละครับ ที่สร้าง “อภิสิทธิ์ชน” ขึ้นมาในสังคมไทย

และเป็นรากให้ความแตกแยกความขัดแย้งในสังคมนี้ถ่างกว้าง-รุนแรงยิ่งขึ้น

ไม่เชื่อก็ลองเทียบกรณีของคุณปารีณากับชาวบ้านไทรงามที่ถูกดำเนินคดีบุกรุกป่า ทั้งที่อยู่ในที่ดินที่ทำกินมาแต่อ้อนแต่ออก

หรือกรณีบุกเผาหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่แก่งกระจาน ในนามของการ “ทวงคืนผืนป่า” ดูก็ได้

ทำไมคนจน คนไม่มีอำนาจ ไม่มีโอกาสให้พิสูจน์ความเป็นธรรมเหมือนบรรดาอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย?

ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่น่าแปลกใจ

เพราะในรอบสิบกว่าปีมานี้ ลัทธิอภิสิทธิ์ชนมีอิทธิพลมากขึ้นและมากขึ้นเป็นลำดับ

เมื่อมี “ผู้นำ” ลุกขึ้นมาฉีกรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศได้อย่างหน้าตาเฉย 2 ครั้ง ในช่วงเวลาที่ห่างกันไม่ถึง 10 ปี

แล้วจะไม่ให้ “ลิ่วล้อ-บริษัทบริวาร” ชูหางกลายเป็นแมงป่องผยองเดชขึ้นมาได้อย่างไร

เมื่อลูกพี่ฉีกกฎหมายสูงสุดของประเทศได้

ลิ่วล้อจะไปกลัวอะไรกับกฎหมายระดับรองลงมา

ขนาดเห็นๆ กันว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ยังมีอภิสิทธิ์ชนด้วยกัน (ซึ่งสันหลังเหวอะหวะคล้ายกัน) ออกมาช่วยอุ้มได้อย่างหน้าตาเฉย

แล้วใครจะเชื่อว่ากฎหมายในบ้านนี้เมืองนี้เสมอภาคเสมอหน้า สมควรแก่การเคารพและปฏิบัติตาม

ที่ออกมาตะโกนอยู่ปาวๆ ให้คนอื่นเคารพกฎหมาย

กลับมาย้อนดูตัวเองและพวกพ้องบ้างหรือไม่

หวังลมๆ แล้งๆ อยู่ว่า กรณีที่ดินของคุณทวีและคุณปารีณาครั้งนี้

จะนำไปสู่การตรวจสอบสังคายนาการถือครองที่ดินโดยมิชอบในสังคมไทยอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจหรือผู้มีอิทธิพลหน้าไหน จะต้องถูกตรวจสอบด้วยความโปร่งใส

ว่าการถือครองนั้นชอบด้วยกฎหมาย

ไม่ใช่กำปั้นใหญ่แล้วได้เปรียบ

เพราะนี่ไม่ใช่แต่ปัญหาที่ดิน (ซึ่งที่จริงก็เป็นปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในสังคมไทย)

แต่ยังเป็นปัญหา “ค่านิยม” และมาตรฐานของการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม

สังคมไหนที่ค่านิยมว่าอำนาจและอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมาย

หรือการบังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานเป็นเรื่องปกติ

สังคมนั้นก็เดินหน้าเข้าสู่ความวิบัติบรรลัยในไม่ช้า

จึงหวังลมๆ แล้งๆ อีกเช่นกันว่า

กรมป่าไม้ที่ออกหน้าขึงขังอยู่ในเวลานี้ จะไม่ถูกอิทธิพลในทางลับอะไรทำให้เรื่องกลายเป็น “มวยล้มต้มคนดู” ในตอนจบ

เพื่อและเผื่อจะได้เป็นตัวอย่างให้หน่วยราชการอื่นๆ ลุกขึ้นยืนตรง “มีกระดูกสันหลัง” กับเขาบ้าง

เผื่อความหวังต่อสังคมไทยที่มอดลงไปเรื่อยๆ จะถูกจุดประกายขึ้นมา

แต่ถ้า “ผู้นำ” คนไหนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จะเดินหน้าอุ้มการกระทำที่ละเมิดกฎหมายชัดเจน ไม่ว่ากรณีนี้หรือกรณีไหน ก็ลองดูได้นะครับ

หมั่นสะสมฟางบนหลังอูฐเข้าไว้

ถึงไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรจะเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ความอดทนในสังคมขาดผึงลง

แต่เค้าลางหลายอย่างบอกว่า

เวลาที่ว่าอยู่ไม่นานนักแล้ว