2500 สฤษดิ์ เผ่า เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด : “ดอกไม้บนหลุมศพที่ถูกขยี้” | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

2500 สฤษดิ์ เผ่า เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด (1)

“ดอกไม้บนหลุมศพที่ถูกขยี้”

“สงครามเป็นเรื่องโหดร้ายไม่มีเหตุผล น่าอับอาย ไร้เกียรติ เป็นความสูญเปล่าอย่างไม่น่าให้อภัย การสู้รบที่ยังคงทิ้งร่องรอยอันลบไม่ออกไว้ในใจผู้ที่ถูกบังคับให้ต้องทนรับมัน ปัจจัยเดียวที่ช่วยไถ่ถอนก็คือความกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อของเหล่าสหาย รวมถึงความเสียสละที่มีให้แก่กันและกัน ค่ายฝึกนาวิกโยธินสอนวิธีการฆ่าคนอย่างมีประสิทธิภาพให้กับเรา รวมถึงการพยายามอยู่ให้รอด แต่มันก็สอนให้เรารู้จักความซื่อสัตย์แก่กันและกัน รวมถึงให้รักกันด้วย ความรักสามัคคีในหมู่คณะนั่นเองที่ช่วยประคับประคองเราไว้”

“WITH THE OLD BREED : แปซิฟิก สมรภูมิเดนตาย สหายร่วมรบ” E.B.SLEDGE เขียน / ฉัตรนคร (องคสิงห์) เขมาสี แปล

ยากที่จะโต้เถียงและลบล้างความรังเกียจต่อ “สงคราม” แต่ท่ามกลางกระสุนและควันปืน ยังมีบางด้านแห่งความงดงามของมนุษย์อยู่บ้าง นั่นคือ “มิตรภาพ” ระหว่างทหารร่วมตาย-สหายร่วมศึก “มิตรภาพ”ระหว่างกันคือหนึ่งในความงดงามนั้นดั่ง “ดอกไม้บนหลุมศพ” แต่บางเรื่องราว กระทั่งดอกไม้บนหลุมศพยังถูกขยี้…

“ความรักสามัคคีในหมู่คณะ” ของเหล่าทหารทั้งในยามสงบและในยามออกรบเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก นี่คือสิ่งที่ทุกกองทัพในโลกล้วนยึดถือเป็นกฎเหล็กที่ต้องปลูกฝังและยังเกิดขึ้นเองในหมู่ทหาร จนนำไปสู่ตำนานมากมายที่เล่าขานถึงความรักที่พวกเขามีต่อกัน กระทั่งมีคำกล่าวติดปากที่นำมาพูดต่อๆ กัน “No one left behind – ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” หรืออย่าง “เอาศพคืนไม่ได้ก็เพิ่มศพเข้าไป” ของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่

มิตรภาพของ “สี่ทหารเสือ” ผู้เสี่ยงชีวิตเข้าเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อเช้ามืด 24 มิถุนายน 2475 ทั้งก่อนหน้าและเริ่มแรกก็เป็นเช่นนั้น แต่ชั่วเวลาแค่ข้ามปี ทุกอย่างพลันเปลี่ยนไปแล้วติดตามมาด้วยชะตากรรมอันน่าเศร้า ไม่ว่าจะมองในมุมของความเป็นมนุษย์ และยิ่งน่าเศร้าขึ้นไปอีกเมื่อมองในมุมแห่ง “มิตรภาพ”

“หอกดาบ” อาจไม่สามารถทำลายมิตรภาพในหมู่ทหารได้ แต่ “อำนาจ” ทำได้…

นี่คือบางส่วนของคำนำ “2475 เส้นทางคนแพ้” หนังสือเล่มล่าสุดของผม เรื่องราวความล่มสลายแห่งมิตรภาพของเพื่อนรัก “สี่ทหารเสือ” ผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ.2475

เรื่องราวเช่นนี้ยังมีอีก และจะยังมีต่อไปตราบใดที่ทหารยังเข้าเกี่ยวข้องกับ “อำนาจ”

โดยเฉพาะ “การเมือง”

2500 สฤษดิ์ เผ่า : เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ลงมือยึดอำนาจจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อ 16 กันยายน 2500 ด้านหลักอาจเป็นวันสิ้นสุดบนบัลลังก์อำนาจของจอมพล ป. พิบูลสงคราม

แต่อีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยกลับเป็นวันสิ้นสุดแห่งการขับเคี่ยวต่อสู้อันยาวนานบนเส้นทางสู่อำนาจระหว่าง “เพื่อนรัก” จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก กับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ

แต่แปลกหรือไม่…

การต่อสู้ที่เดิมพันกันด้วยชีวิตระหว่าง “เพื่อนรัก” ทั้งสองคนนี้ แม้จะจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายหนึ่ง และความพ่ายแพ้ของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นชัยชนะเด็ดขาดและพ่ายแพ้เด็ดขาด อันเป็นปกติของเกมการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ เป็น ZERO SUM GAME!

WINNER TAKES ALL : ผู้ชนะได้หมด ผู้แพ้สูญเสียหมด แต่มิตรภาพระหว่างเพื่อนรัก “คู่ต่อสู้” ทั้งสองกลับยังคงยืนยาวกระทั่งวันสุดท้ายแห่งชีวิต

ใต้หล้าฟ้าคราม วันนี้และวันข้างหน้ายังจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่ในยุทธภพ – แพ้ได้ชนะได้ แต่ไม่ฆ่า!

ปฏิวัติ 2500 หนีหรือสู้?

พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ “อัศวินแหวนเพชร” มือขวาของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ บันทึกความทรงจำแห่งคืน 16 กันยายน พ.ศ.2500 ไว้ใน “บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย” ดังนี้…

“รถที่ผมนั่งออกมาจากสันติบาลเลี้ยวขวามาทางสี่แยกราชประสงค์ ข้ามสี่แยกจะถึงลิโด้ซึ่งอยู่ทางขวามือใกล้ๆ สี่แยก ผมก็เห็นกลุ่มทหารถืออาวุธพร้อมวิ่งตัดหน้ารถข้ามไปทางฝั่งซ้ายมือซึ่งตรงข้ามกับลิโด้นั้นเป็นตึกขององค์การโทรศัพท์เพลินจิต กำลังทหารมีประมาณหนึ่งหมู่ ผมสะกิดพันศักดิ์ชี้ให้ดู

“เฮ้ย เอาเข้าแล้วโว้ย ทหารเข้ายึดโทรศัพท์แล้ว” ผมสั่งให้คนขับรถหยุดรถ เลี้ยวกลับ “ไปหาเจ้านายเถอะว่ะ”

ผมรู้ว่าเจ้านายอยู่ที่ไหน ท่านมีบ้านลับๆ อยู่ในซอยวิทยุข้างๆ บ้านใหญ่ของนายแบงก์ใหญ่คนหนึ่งแถวๆ นั้น ออกชื่อนายแบงก์คนนั้นมาก็ต้องรู้จักกันดี ผมสั่งเลี้ยวรถเข้าซอยนั้น ถึงหน้าประตูบ้านก็สั่งกดแตรเป็นสัญญาณ ประตูบ้านก็เปิด รถเจ้านายจอดอยู่ที่นั่นจริงๆ ผมพาพันศักดิ์ลงจากรถ เมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว เจ้านายกำลังสำราญอยู่กับเพื่อนคู่ใจนอกบัญชีอย่างสบายอารมณ์ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอเห็นผมกับพันศักดิ์เข้ามาก็ถาม

“มาทำไมวะ ไอ้สองคนนี่”

“ทหารเขาเอาแล้วครับ” ผมนั่งลงตอบ “เขาเข้ายึดตึกโทรศัพท์เพลินจิตแล้วครับ”

“จริงหรือวะ” ท่านถาม ยังไม่เชื่อ

“จริงครับ ผมกับไอ้อ้วนเห็นมาเดี๋ยวนี้เอง เขาวิ่งตัดหน้ารถผมไป ผมก็เลี้ยวรถมาหาท่านนี่แหละ จะเอายังไงกัน”

“ลองต่อโทรศัพท์ไปที่กองมึงดูสิวะ”

ท่านหันไปสั่งไอ้อ้วน ไอ้อ้วนยกโทรศัพท์หมุนไปที่กองปราบฯ สักครู่ก็ได้ยินเสียงพูดกับใครคนหนึ่งทางปลายสาย แล้วมันก็หันมารายงาน “ทหารเข้ายึดกองปราบฯ แล้วครับ มีรถถัง 2 คัน ทหารประมาณ 1 หมวด ไอ้อูมันมารับสายเอง มันถามว่าจะให้ทำยังไง” (ไอ้อูคือ ร.ต.อ.อิทธิพล เครือใย ลูกน้องไอ้อ้วน)

“เขาเข้ายึดแล้ว มันมารับโทรศัพท์ได้ยังไงวะ”

“มันบอกว่า ทหารเขาไม่ได้กักตัวใครในกอง เขาให้อยู่กันสบายๆ มันพูดโทรศัพท์ได้เหมือนปกติครับ”

“ถ้ายังงั้น ไอ้พุฒต่อไปที่กองของมึงดูสิวะ”

ผมคว้าหูโทรศัพท์จากไอ้อ้วน ยกขึ้นแนบหู ก็ได้ยินเสียงดังกริ๊กแล้วเสียงในหูฟังก็เงียบ ไม่มีเสียงอะไรอีก หูโทรศัพท์เงียบกริบ ผมวางหูเข้าที่แล้วยกขึ้นฟัง มันก็เงียบสนิทแสดงว่าโทรศัพท์ถูกตัดสายแล้ว ผมรายงานท่านให้ทราบแล้ววางหูพร้อมกับพูด

“คนของผมพร้อมครับ ผมสั่งการให้เตรียมพร้อมเต็มอัตราไว้แล้วครับ จะเอายังไงวิทยุสั่งการไปได้ทันที”

ท่านนั่งนิ่งมองดูผมที มองดูพันศักดิ์ที แล้วก็พูดเสียงเนิบๆ ว่า

“ช่างมันเถอะวะ ให้ไอ้สฤษดิ์มันทำของมันไปเถอะ มันไม่ทำอะไรกูหรอก เราสู้ไปก็เท่านั้น ถ้าเราชนะก็ต้องให้ท่านจอมพล ป. เป็นนายกฯ อีก พวกมึงก็ไม่ชอบ ปล่อยมันเถอะวะ”

“อ้าว แล้วกัน” ผมพูดเงียบๆ ในใจแล้วพูดดังๆ ออกมาว่า

“คนของผมมันไม่วุ่นกันใหญ่หรือครับ มันคงทำอะไรกันไม่ถูก รอคำสั่งอยู่นั่น”

“อยู่เฉยๆ ก่อน ถ้ามันสั่งจับเรา ค่อยหลบออกไปทางปากน้ำ เอาเรือตำรวจน้ำไปขึ้นหัวหิน เอากำลังค่ายนเรศวรของไอ้ประเนตรมันเข้ามา ถ้ามันขอทำความเข้าใจกัน เราก็เข้าไปพบมัน”

ผมก็ได้แต่ฟังคำสั่ง ได้แต่คิดในใจว่า ทำไมจะต้องถ่อไปถึงหัวหิน จะเอาก็เอากันเสียให้มันรู้เรื่องไปเสียที่นี่ จะหนีก็หนี จะสู้ก็สู้ให้มันรู้เรื่องกันไป ได้แต่คิดในใจ นายท่านสั่งอย่างนั้นก็ต้องทำตามคำสั่ง ดันทุรังไปก็ไม่ได้

เราเปิดวิทยุฟังข่าว เสียงออกอากาศของฝ่ายปฏิวัติดังทุกสถานี ส่งเสียงเจื้อยแจ้วชัดถ้อยชัดคำ ท้ายประกาศทุกฉบับลงชื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ผู้มีตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

วันนั้นวันที่ 16 กันยายน 2500

สาเหตุหรือที่เรียกว่าเงื่อนไขในการปฏิวัตินั้น ประกาศคณะปฏิวัติแถลงข่าวว่า คณะปฏิวัติไม่สามารถที่จะทนอยู่ในสภาพของการเมืองขณะนั้นได้ อันมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งสกปรกและการปกครองที่ล้มเหลว ทั้งมีการโกงกินในคณะรัฐบาล เงื่อนไขที่อ้างมานี้ เป็นเงื่อนไขที่ฟังแล้วยังไงๆ พิกล การเลือกตั้งนั้นมีมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ต้นปีนั้น ห่างจากวันปฏิวัติถึง 7 เดือน ช่างมีความรู้สึกช้าจริงๆ และเรื่องการปกครองที่ล้มเหลว มีการโกงกินในคณะรัฐบาลนั้นก็ฟังพิลึก เพราะก่อนหน้านั้นมีข่าวออกมาถึงเรื่องสลากกินแบ่งของรัฐบาลที่มีการตรวจพบว่าเงินของกองสลากขาดหายไปจากบัญชีเป็นจำนวนหลายล้านบาทเป็นที่โจษจันกันทั่วกรุง ปรากฏว่าท่านประธานสำนักงานกองสลากก็คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และผู้อำนวยการกองสลากกินแบ่งรัฐบาลก็คือบุคคลที่เป็นน้องภรรยาของท่านเอง ประชาชนที่เป็นผู้ที่อยู่ในระดับชั้นมีความรู้ฟังแล้วก็สงสัยว่าเงินมันขาดหายไปด้วยฝีมือใครที่จะเข้าไปยุ่งในวงการกองสลากได้ก็ต้องเก็บความสงสัยไว้เงียบๆ ในใจ ที่น่าจะเอามาตั้งเป็นเงื่อนไขคือเรื่องค้าฝิ่นไม่ยักเอาออกมาอ้าง เพราะรัฐบาลชุดนั้นค้าฝิ่นจริงๆ เพื่อแก้สถานการณ์การเงินของประเทศในยามอับจน เรื่องฝิ่นเปอร์เซียนั่นก็ไม่ยักเอามาอ้าง

เจ้านาย พันศักดิ์ และผม นั่งฟังเสียงวิทยุออกอากาศอยู่พักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงประกาศฉบับสำคัญออกอากาศตามมา

จอมพล ป.พิบูลสงคราม

“หัวหน้าคณะปฏิวัติ ขอประกาศให้ท่านผู้มีนามต่อไปนี้มาพบปะปรับความเข้าใจกับหัวหน้าคณะปฏิวัติซึ่งมีกองอำนวยการอยู่ที่หอประชุมกองทัพบกในทันทีที่ได้ทราบประกาศนี้

1. ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม

2. จอมพลอากาศฟื้น ฤทธาคนี แม่ทัพอากาศ

3. จอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล แม่ทัพเรือ

4. พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมตำรวจ

5. จอมพลผิน ชุณหะวัณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

สิ้นเสียงออกอากาศประกาศฉบับสุดท้าย เจ้านายก็ลุกขึ้น

“เฮ้ย ไปโว้ย เข้าไปพบกับไอ้สฤษดิ์มัน มึงสองคนไปกับกู เอาปืนออก ไม่ต้องพกไป ไอ้อ้วนมึงขับรถ คนรถทิ้งไว้ที่นี่…ไป” สั่งเสร็จก็เดินอ้าวเปิดประตูออกไปที่รถ ผมสองคนตามหลังไปติดๆ ส่งปืนให้คนขับรถของไอ้อ้วนเก็บไว้ทั้งของมันและของผม

เจ้านายให้ไอ้อ้วนขึ้นนั่งที่คนขับทำหน้าที่โชเฟอร์ ส่วนผมท่านให้ขึ้นไปนั่งข้างหลังคู่กับท่าน ขึ้นรถเรียบร้อย ไอ้อ้วนก็ออกรถทันที รถผ่านไปตามถนนสายต่างๆ จากถนนวิทยุเข้าถนนเพลินจิตเรื่อยไป เลี้ยวเข้าถนนเพชรบุรีตรงดิ่งไปยมราช สมัยนั้นสะพานลอยยมราชยังไม่มี รถข้ามทางรถไฟที่ยมราช มาถึงหัวมุมทางแยกจะไปหลานหลวงและถนนพิษณุโลก ตรงหัวมุมนั้นมีรถถังคันหนึ่งจอดอยู่

“ปักหัวไปที่รถถังคันนั้น” เจ้านายตบไหล่คนขับ ไอ้อ้วนพุ่งหัวรถเข้าหารถถังคันนั้นตามคำสั่ง ปักหัวรถเข้าหารถถังคันนั้นจริงๆ

แล้วจอดนิ่งหยุดอยู่ตรงหน้ารถถังห่างกันไม่ถึงเมตร