คนของโลก : อาบู บัคร์ อัล-แบกห์ดาดี

จากคำบอกเล่าของผู้เขียนชีวประวัติอาบู บัคร์ อัล-แบกห์ดาดี ผู้นำกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) กลุ่มก่อการร้ายที่ชื่อกระฉ่อนมากที่สุดในโลกเวลานี้ถูกประกาศว่าเสียชีวิตแล้ว หลังจากก่อเหตุจุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตาย ขณะที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษสหรัฐบุกเข้าประชิดแหล่งกบดานในเมืองอิดลิบ ประเทศซีเรีย เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

คนที่น่าจะเล่าถึงตัวตนของแบกห์ดาดีได้ดีมากที่สุดคนหนึ่งคงเป็น “โซเฟีย อมารา” ผู้สื่อข่าวผู้เขียนหนังสือชีวประวัติแบกห์ดาดี จากการลงพื้นที่หาข้อมูลเป็นเวลาหลายปี ออกเป็นผลงานหนังสือในชื่อ “Baghdadi, The Caliph of Terror”

วางขายเป็นภาษาฝรั่งเศสเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

 

อมาราเล่าว่า จุดเริ่มต้นของแบกห์ดาดีนั้นไม่มีคิดว่าเขาจะมีเสน่ห์เพียงพอที่จะเป็นผู้นำได้ ก่อนที่จะก้าวข้ามจุดนั้น ไปสู่การเป็นประมุขของ “รัฐอิสลาม” เชิงทดลองที่ร่ำรวย รุนแรง และในช่วงเวลาหนึ่งอยู่ในจุดที่สามารถโจมตีได้แม้กระทั่งใจกลางของภูมิภาคยุโรปได้

ในวันที่แบกห์ดาดีประกาศตนเป็น “คาลิปห์” ของรัฐอิสลามในเมืองโมซุล ประเทศอิรัก เมื่อปี 2014 เขาไม่ได้มีบุคลิกที่สร้างความประทับใจได้เท่าไรนัก

อมาราเล่าว่า ในวันที่แบกห์ดาดีเดินกะโผลกกะเผลกขึ้นบันไดไปประกาศการก่อตั้งรัฐอิสลาม รัฐที่กินพื้นที่ขนาดใหญ่ในซีเรียและอิรัก ผู้ภักดีบางคนยังคงสงสัยว่า “ชายแก่คนนี้คือใคร”

อมาราเล่าต่อว่า เขาไม่เคยเข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพเนื่องจาก “สายตาสั้น” และไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งในโรงเรียน

“ในสมัยที่เขาเป็นเด็กเขามีปัญหากับการแสดงออกในที่สาธารณะ เขาต้องฝึกหน้ากระจกเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพียงเพื่อการพูดไม่กี่ประโยค” อมาราเล่า

แม้แต่วิดีโอโฆษณาชวนเชื่อประกาศการกลับมาของแบกห์ดาดีเผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น อมารายังเล่าด้วยว่าเขายังต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำคลิปวิดีโอดังกล่าว ด้วยความเหนื่อยอ่อนและการที่ยังคงพูดติดๆ ขัดๆ

แม้แต่โอซามา บิน ลาเดน หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้า ยังเคยวิพากษ์วิจารณ์แบกห์ดาดีว่าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำได้

 

อย่างไรก็ตาม แบกห์ดาดีสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ด้วยการรวมกลุ่มอดีตสมาชิกพรรคบาธของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ในอิรักที่ต้องกระจัดกระจายกันออกไปหลังจากสหรัฐอเมริกาบุกโจมตีอิรักเมื่อปี 2003

“เขาเป็นอัจฉริยะในการประสานความปรองดองระหว่างกลุ่มบาธ ที่มีมุมมองทางโลกเข้ากับกลุ่มนักรบฮิญาดหัวรุนแรงเข้าไว้ด้วยกันได้” อมาราระบุ

หนึ่งในภรรยา 3 คนของแบกห์ดาดีเล่าไว้ด้วยว่า เขาเป็นคนที่มีความอดทน และพยายามสร้างสมความรู้ในคัมภีร์ “อัลกุรอาน” อยู่เสมอเพื่อชดเชยความรู้ความสามารถด้านการทหารที่ตนเองขาดไป

เขามักสื่อสารกับผู้นำศาสนาอิสลามอย่าง “ฮอสแซม อัลลามี” ที่ทั้งคู่เคยพบกันขณะถูกขังในเรือนจำของกองทัพสหรัฐช่วงสั้นๆ เมื่อปี 2004 เพื่อสอบถามเกี่ยวกับประเด็นข้อสงสัยต่างๆ ในศาสนาอิสลาม

โดยอมาราเล่าว่า เขาใช้แอพพลิเคชั่นวอทสแอพพ์คุยกับอัลลามีอยู่เสมอ

 

ในจุดสูงสุดของกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม แบกห์ดาดีมีกำลังทหารในมือจำนวนมากถึง 50,000 ถึง 60,000 นาย ขณะที่ผู้ภักดีบังคับใช้ศาสนาอิสลามในรูปแบบสุดโต่งกับประชาชนในรัฐอิสลามราว 7 ล้านคน

เป็นเวลากว่า 5 ปีที่แบกห์ดาดีปกครองพื้นที่ที่มีลักษณะไม่ต่างจากประเทศประเทศหนึ่ง โดยในช่วงเวลาที่อาณาเขตแผ่ขยายกว้างไกลที่สุด รัฐอิสลามแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่เทียบเท่ากับสหราชอาณาจักร มีศาลศาสนาเป็นของตัวเอง มีระบบภาษีเป็นของตัวเอง รวมไปถึงมีสกุลเงินเป็นของตัวเอง

ทว่าดินแดนก็ทิ้งหลักฐานความโหดร้ายเอาไว้ด้วยการตัดหัว สังหารหมู่ ลักพาตัว ข่มขืนกระทำชำเรา เอาไว้บนดินแดนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่กองทัพพันธมิตรนำโดยสหรัฐอเมริกาจะนำกำลังเข้าโจมตีในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจนรัฐอิสลามล่มสลายลง

อย่างไรก็ตาม อมาราระบุว่าการจบชีวิตของแบกห์ดาดีนั้นเป็นเพียงการสิ้นสุดในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น

แม้สาวกนับพันจะต้องถูกจับเข้าเรือนจำ แต่ “อุดมการณ์ยังคงอยู่” อมาราระบุ