วอชเชอร์ : แม้ผ่านวาระแรก ก็ดีใจได้แค่วันเดียว

การนำเสนอและอภิปรายร่างงบประมาณประจำปี 2563 วาระแรกก็จบลง หลังมาราธอนอภิปรายโต้ตอบกันยาวติดต่อกัน 3 วัน และมตินั้นแน่นอนว่า ผ่านวาระแรกในด้านหลักการไป 251 เสียง โดยที่ 7 พรรคฝ่ายค้านพร้อมใจงดออกเสียง

แน่นอนว่า สีหน้าอันยิ้มแย้ม ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังออกมาจากห้องประชุม ก็เป็นเรื่องภาพลักษณ์ ทั้งๆที่ ตลอด 3 วัน นายกรัฐมนตรีก็มีลุกขึ้นโต้ตอบฝ่ายค้านแบบทันควันพร้อมสีหน้าฉุนเฉียว โดยเฉพาะงบกองทัพหรือแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ก็ออกมาตอบโต้แบบมีอารมณ์

และก็อีกเช่นเคย ที่คล้ายกับตอนแถลงนโยบายรัฐบาล ตอบจบการนำเสนองบประมาณ ก็เผยประโยคและสีหน้าอารมณ์ราวกับเป็นเรื่องตลก

ทั้งนี้ทั้งนั้น ต่อจะผ่านวาระแรกไปแบบสบายๆ ก็ดูเหมือนจะดีใจได้แค่วันเดียว 

 

ทางฟากพรรคร่วมฝ่ายค้านเอง ทำงานหนักทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง เพราะการอภิปรายเชิงหลักฐาน โดยเฉพาะการย่อยข้อมูลมหาศาลของงบประมาณ ย่นให้เหลือตัวพรีเซ้นต์อภิปรายแบบเข้าใจง่ายภายในเวลาจำกัด ก็ใช้พลังงานไปไม่น้อย

ผลที่ได้ก็คือ เนื้อหาการอภิปรายที่ผสมระหว่างข้อมูลเชิงวิเคราะห์ บวกกับการสื่อสารทางการเมืองที่ต้องคิดคำติดหู เข้าใจง่าย นักการเมืองฝ่ายค้านที่โดดเด่นเรื่องข้อมูลมากที่สุด คงหนีไม่พ้น ส.ส.ไหม “ศิริกัญญา ตันสกุล”

ส่วนสายลีลาวาทศิลป์ก็เป็นใครไม่ได้นอกจาก สายลุยฟากเพื่อไทย ตั้งแต่ ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ, ชลน่าน ศรีแก้ว, จิรายุ ห่วงทรัพย์ และอีกหลายคน

แน่นอนว่า จุดประสงค์เดียวคือ พยายามสื่อสารถึงประชาชนให้รู้ถึงงบประมาณที่ถูกใช้ในแต่ละเรื่องให้ได้มากที่สุด

 

ในแง่ยุทธศาสตร์การอภิปรายงบประมาณ ของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็ต้องพุ่งเป้าไปที่ งบกองทัพ งบแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่หนีเงาแนวทางแบบประชานิยมไม่พ้น รวมถึงงบกลางที่มีสัดส่วนมากที่สุดในรอบนี้ ซึ่งถูกนำมาตั้งคำถามกับรัฐบาลอย่างหนัก

ส่วนที่รัฐมนตรีแต่ละคนชี้แจงนั้น คงได้เห็นแล้วว่า ตรงกับสิ่งที่ประชาชนต้องการรู้หรือไม่

สิ่งที่ต้องจับตาดู นอกจากวงกรอบงบประมาณฯมูลค่า 3.2 ล้านล้านบาท ที่ยังเหลืออีก 2 วาระ ซึ่งจะเข้มข้นกว่าวาระแรก ปัญหาที่ประเทศไทยต้องรู้นั้นคือ หนี้สาธารณะจำนวน 6.9 ล้านล้านบาท ที่สืบมาตั้งแต่รัฐบาล คสช. จนมาถึงรัฐบาลอวตาร คสช.ชุดนี้ทำไว้จะแก้ไขยังไง

ถึงต่อให้งบประมาณผ่าน 3 วาระรวด แต่ถ้าใช้จ่ายบริหารประเทศแบบไม่จัดลำดับความสำคัญและสิ้นเปลืองกับเรื่องไม่จำเป็น ประเทศไทยก็คงยิ่งตกต่ำลงไปเรื่อยๆ