จรัญ พงษ์จีน : เลือกตั้งซ่อม เกมส์ชี้ชะตาขั้วการเมือง

จรัญ พงษ์จีน

ได้วัดกระแสกันอีกครั้ง ระหว่างขั้วรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ในศึกเลือกตั้งซ่อมที่จะระเบิดเถิดเทิงขึ้นติดๆ อันเนื่องมาจาก

1. กรณี “นางจุมพิตา จันทรขจร” ส.ส.สมัยแรก เขต 5 จังหวัดนครปฐม จากค่ายอนาคตใหม่ เกิดปัญหาสุขภาพ เนื่องจากประสบอุบัติเหตุทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับใช้ชาติ สุดท้ายต้องตัดสินใจลาออก

ซึ่งทาง “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” แจ้งให้ทราบถึงวันรับสมัครและวันทำศึกเลือกตั้งซ่อม ลงเอยวันพุธที่ 23 ตุลาคม 2562

2. “พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์” ส.ส.เขต 2 จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี จากคดีที่ตกเป็นจำเลยบุกล้มการประชุมอาเซียนที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา เมื่อครั้งเป็นแกนนำแนวร่วม นปช. ในวันที่ 11 เมษายน 2552

3. “นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก” ส.ส.เขต 5 จังหวัดสมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ถูกมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ “กกต.” แจกใบเหลือง เหตุมาจากคนใกล้ชิดใส่ซองช่วยงานศพ เข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73(1) ฐานจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง

4. “นายนวัธ เตาะเจริญสุข” ส.ส.เขต 7 จังหวัดขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ศาลตัดสินประหารชีวิตในคดีจ้างวานฆ่า “นายสุชาติ โคตรทุม” อดีตปลัด อบจ.ขอนแก่น เหตุเกิดเมื่อปี 2556

แม้ว่าคำสั่งประหารชีวิต “ยังไม่ถึงที่สุด” เพราะเป็นคำพิพากษาเพียงศาลชั้นต้น จำเลยยังมีสิทธิสู้คดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกา

แต่ผลจากศาลไม่ให้ประกันตัวและนำเข้าขังในเรือนจำทันที ทำให้ “สถานภาพ ส.ส.” เข้าข่ายสิ้นสุดลงทันที

เท่ากับว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นแม้จะต่างกรรมต่างวาระ แต่การเมืองต้องเข้าโหมดเดียวกันคือ “เลือกตั้งซ่อม” ด้วยอัตราส่วน 2 ต่อ 2 คือ เป็นตัวแทนจากพรรคฝ่ายค้าน 2 เขตเลือกตั้ง ประกอบด้วย นครปฐม เขต 5 สังกัดอนาคตใหม่ กับขอนแก่น เขต 7 จากเพื่อไทย

“พรรคพลังประชารัฐ” แกนนำรัฐบาล 2 เขต ได้แก่ สมุทรปราการ เขต 5 และกำแพงเพชร เขต 2

“กระแสสังคม” หยิบฉวยเอาศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 7 นครปฐม มาปุจฉา-วิสัชนาค่อนข้างมากกว่าใครเพื่อน เพราะมีความพิลึกกึกกืออย่างปมเงื่อน ประการแรก “กกต.” กำหนดให้ทำศึกเลือกตั้งซ่อมกันในวันพุธ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าเลือกตั้งใหญ่หรือเลือกตั้งซ่อมจะลงเอยในวันอาทิตย์ เพื่อให้ผู้มีสิทธิ์ออกไปใช้สิทธิ์กันได้มากในวันหยุด

และวันที่ กกต.กำหนดให้เป็นวันเลือกตั้งซ่อมนครปฐม เขต 5 ยังปรากฏว่าตรงกับวัน “ปิยมหาราช” ซึ่งไม่เข้าใจว่า เหตุไฉน กกต.จึงไม่กำหนดให้เลือกตั้งซ่อมในวันอาทิตย์ก่อนวันสำคัญกันมิทราบ

 

ประการต่อมาที่ถกแถลงกันหนักคือ “ฮั้วเลือกตั้ง” ที่ปรากฏว่า “พรรคฝ่ายค้าน” เขาจัดการตกลงกันเรียบร้อย ทุกพรรคเปิดทางสะดวกให้ “อนาคตใหม่” เจ้าของพื้นที่ หรือเก้าอี้เดิม เป็นตัวตายตัวแทนลงทำศึกป้องกันแชมป์

โดยพรรคสีส้มส่ง “ไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร” สามีของ “นางจุมพิตา” ลงสมัครแต่เพียงผู้เดียว

กลายเป็นว่า ที่มีปัญหาคือ “พรรคร่วมรัฐบาล” ตัดสินใจส่งผู้สมัครดวลเดือดกันเองระหว่าง “สุรชัย อนุตธโต” ค่ายประชาธิปัตย์ กับ “เผดิมชัย สะสมทรัพย์” ซุ้มบ้านใหญ่ จากพรรคชาติไทยพัฒนา

ต่างฝ่ายต่างกุมคัมภีร์คนละเล่ม “ประชาธิปัตย์” ยึดถือว่า ศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา “นายสุรชัย” เข้าป้ายมาอันดับ 2 ด้วยคะแนน 18,970 เสียง

เหนือกว่า “เสี่ยเตี้ย-เผดิมชัย สะสมทรัพย์” ซึ่งได้รับเลือกมาเป็นอันดับ 4 ด้วยฐานเสียงเพียง 12,279 แต้ม โดยเรตติ้งแล้ว “นายสุรชัย” ต้องเป็นตัวตายตัวแทน

แต่บังเอิญว่า เขต 5 นครปฐม ซุ้มบ้านใหญ่ ตระกูล “สะสมทรัพย์” ผูกขาดมาเนิ่นนาน เพียงแต่บังเอิญว่า เลือกตั้งใหญ่ “เผดิมชัย” ประมาทคู่แข่งมากเกินไป

จึงขอถือโอกาสนี้ล้างตา และเชื่อว่า ด้วยบารมีของ “บ้านใหญ่-สะสมทรัพย์” ที่มีในจังหวัดนครปฐม จะเหยียบคันเร่งให้เต็มที่ สามารถพลิกเกมมาชนะได้แบเบอร์

พรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะ “พปชร.” ต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะ 1 ที่นั่งจากจังหวัดนครปฐม ไม่มีความหมายอะไรต่อการอยู่รอดปลอดภัยของรัฐบาลมากนัก

เช่นเดียวกับศึกเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดกำแพงเพชร แทน “พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์” หรือที่จังหวัดขอนแก่น เขต 7 แทน “นวัธ เตาะเจริญสุข”

กล่าวคือ ทั้ง 3 เขตเลือกตั้งที่จะเลือกตั้งซ่อม ไม่สามารถนำคะแนนดิบผลจากการเลือกตั้งมาบวกลบคูณหาร เพื่อจัดสรรปันส่วนคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อกันใหม่แต่ประการใด

ผิดกับการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ แทน “นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก”

เนื่องจาก “กกต.” แจกใบเหลือง เพราะเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 ที่กำหนดไว้ว่า

“ภายในหนึ่งปีหลังจากวันเลือก อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าต้องมีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นใหม่ เพราะเหตุที่การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้คำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อใหม่ โดยมิให้นำคะแนนที่ได้รับจากการเลือกตั้งที่เป็นเหตุให้มีการเลือกตั้งมารวมคำนวณด้วย และให้นำวิธีการคำนวณตามมาตรา 129 และมาตรา 130 มาบังคับใช้ด้วยโดยอนุโลม”

โดยสรุปคือว่า ศึกเลือกตั้งซ่อมจากสมุทรปราการ เขต 5 จะต้องนำมาสมทบเพื่อจัดสรรปันส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อกันใหม่

เลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม “นายกรุงศรีวิไล” พรรคพลังประชารัฐเข้าป้ายอันดับ 1 ด้วยคะแนน 41,745 เสียง ชนะคู่แข่งพรรคสำคัญคือ “สลิลทิพย์ สุขวัฒน์” จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนน 33,007 เสียง

เกิดเลือกตั้งซ่อม กระแสนิยมรัฐบาลตกต่ำ “นายกรุงศรีวิไล” ได้คะแนนไม่ถึง 3 หมื่นเสียง ก็ต้องตัดยอด ส.ส.บัญชีรายชื่อที่งอกมาออกไป

หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งซ่อมปากน้ำเขต 5 จะได้ที่นั่งเพิ่มแค่ ส.ส.เขต 1 ที่นั่ง ส่วน “บัญชีรายชื่อ” ที่จะถูกหวยเป็นพรรคไหน ก็ต้องว่ากันตามสัดส่วนใหม่