“พิชัย” แนะ “บิ๊กตู่” ดู “โดนัลด์ ทรัมป์” โผงผาง แต่เก่งเศรษฐกิจ ชง “สมคิด” สอน”บิ๊กตู่” สร้างความมั่นใจ

เมื่อวันที่ 22 ก.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังทรุดลงต่อเนื่อง การส่งออกเดือน ส.ค.ทรุดลง 4 % โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.5% หรือ 4% ตามที่นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ โม้ไว้คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ในขณะที่การส่งออกทรุด แต่ค่าเงินบาทไทยกลับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 ปี

และยังมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าเพิ่มขึ้นไปอีก จากสาเหตุที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ดังนั้นจึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องผลกระทบของค่าเงินบาท ได้เร่งแก้ไขปัญหา และอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ดูตัวอย่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่มีบุคคลิกโผงผาง และถูกวิจารณ์หลายด้าน แต่ให้ความสนใจในเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา พยายามกดดันและไล่บี้ธนาคารกลางของสหรัฐให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงเพื่อให้รองรับปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐที่อาจจะเกิดขึ้น

ซึ่งจนถึงปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐก็ยังไปได้ดี ความเป็นอยู่ของคนสหรัฐโดยรวมกลับดีขึ้น ตรงข้ามกับประเทศไทยที่มีผู้นำโผงผางและถูกวิจารณ์อย่างมาก แต่เศรษฐกิจกลับยิ่งย่ำแย่ ประชาชนลำบากกันถ้วนหน้า จนแทบจะทนกันไม่ได้แล้ว ถึงขนาดที่มีแฮชแท็ก “#ประยุทธ์ออกไป” เพื่อขับไล่ พล.อประยุทธ์ ขึ้นอันดับ 1 ในโซเชียลมีเดีย

นายพิชัย กล่าวต่อว่า ตนเห็นด้วยกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่บอกว่าการสร้างความมั่นใจของประเทศสำคัญกว่าอัตราดอกเบี้ย จึงอยากให้นายสมคิดได้สอนวิธีสร้างความมั่นใจให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องถามว่าการที่สื่อหลักต่างประเทศพากันโจมตีรัฐมนตรีที่มีปัญหาเรื่องยาเสพติดแต่รัฐบาลก็ยังนิ่งเฉยนี้ จะสร้างความมั่นใจได้หรือไม่

ยังไม่นับเรื่องคดีปล่อยกู้กรุงไทยของนายอุตตม การถวายสัตย์ไม่ครบ การไม่แถลงที่มาของรายได้ในโครงการรัฐบาล เสียงปริ่มน้ำของรัฐบาล ข้อสงสัยในความรู้ความสามารถของ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ซึ่งจะแก้ไขและจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไร คิดง่ายๆว่าพล.อประยุทธ์กล้าพารัฐมนตรีธรรมนัสร่วมเดินทางไปประชุมสหประชาชาติด้วยกันหรือไม่ แค่นี้ก็พอรู้กันแล้ว

นอกจากนี้รัฐบาลยังดูเหมือนจะหลงทาง โดยการนำเอาจุดอ่อนข้อเสียของการทำรัฐประหารนำมาเป็นจุดขาย ทั้งที่อันดับความสะดวกของไทยตกต่ำมาตั้งแต่เกิดการปฏิวัติ โดยทรุดลงจากอันดับ 18 ก่อนการปฏิวัติ ลงไปต่ำสุดที่อันดับ 49 เลย และตลอด 5 ปี ก็ยังไม่ดีขึ้นถึงที่เดิมโดยปีที่แล้วยังอยู่ในระดับต่ำ อันดับแค่ 27 แต่รัฐบาลพยายามนำมาเป็นจุดขายเหมือนกับว่าไม่มีอะไรจะให้ขายได้แล้ว

ทั้งๆที่เป็นจุดที่น่าจะละอายมากกว่า ปีนี้ต้องดูกันว่าดีขึ้นเท่ากับก่อนการปฏิวัติไหม นอกจากนี้การที่ประเทศเวียดนามมีอันดับความสะดวกทำธุรกิจต่ำกว่าไทยมาก แต่กลับมีการลงทุนจากต่างประเทศมากกว่าไทยหลายเท่า ซึ่งก็ต้องย้อนกลับไปดูเรื่องความมั่นใจของต่างประเทศที่ประเทศไทยแทบจะไม่มีเหลือแล้ว

นายพิชัย กล่าวอีกว่า อีกเรื่องที่หลงทางหนักกว่า คือการที่กระทรวงดีอี ควรจะต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ disruption รวมถึงการที่ต้องพัฒนา Ai, Robotic และ Blockchain แต่กลับไปใส่ใจกับเรื่องข่าวปลอมหรือเฟกนิวส์ จนเหมือนเป็นนโยบายเดียวของกระทรวงนี้ ทั้งที่เรื่องเฟกนิวส์ที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้ คือเรื่องที่รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ออกมาแฉและกล่าวหาว่า พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เจ้าของผังล้มเจ้าปลอมในอดีต ที่ได้ใช้สื่อรัฐในการกระจายเฟกนิวส์โจมตีพรรคคู่แข่งของรัฐบาลในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง

โดยมีหลักฐานการสั่งการในไลน์กลุ่มของผู้บริหารอย่างชัดเจน แถมยังมีหลักฐานรูปภาพการใช้เฟกนิวส์รายงานต่อ พล.ท. สรรเสริญในไลน์กลุ่ม รวมถึงข้อสงสัยในการทุจริตในกรมประชาสัมพันธ์ด้วย ซึ่งอยากให้กระทรวงดีอี ป.ป.ช.และ กกต.ได้เร่งตรวจสอบ ซึ่งหากกระทำความผิดจริงก็น่าจะเร่งลงโทษ เพื่อสนองนโยบายการปราบเฟกนิวส์ของรัฐบาล โดยต้องเริ่มจากการตรวจสอบคนของรัฐบาลก่อน เพราะทุกคนทราบดีว่า พล.ท. สรรเสริญ เป็นคนของใคร และใครส่งเข้ามาเป็นอธิบดี