เรื่องสั้น | หลุมลุ่มหลง

สิ่งที่ฉันบ่นเบื่อ แต่ฉันก็ยังอยู่กับความบ่นเบื่อ…เธอว่า

ฉันแวะมาหาเธอที่คอนโดแถวบางซ่อน ชั้นแปด ห้อง 804 เป็นคอนโดที่เธอเล่าให้ฉันฟังว่าเช่าอยู่ดีกว่าซื้อ เธออธิบายเหตุผลว่า ทีแรกคิดจะกู้ธนาคารแล้วผ่อนส่งรายเดือน รวมแล้ว 30 ปี กว่าจะได้คอนโดหนึ่งห้องขนาด 28 ตารางเมตรเป็นของตัวเอง 30 ปีหนึ่งห้องนอน เธอว่าไม่คุ้มที่จะลงทุนระยะยาว เลยตัดสินใจเช่าเขาอยู่ดีกว่า สัญญา 1 ปี หมดสัญญาย้ายออกได้ สบายใจก็อยู่ต่อ แล้วแต่สะดวก เธอเลยตัดสินใจเลือกที่จะเช่า หารคนละครึ่งกับคนรัก

ตั้งแต่ฉันรู้จักเธอมาและเธอสาธยายเรื่องคนรักให้ฟัง ฉันไม่เห็นว่าไอ้การขายหนังสือเก่าออนไลน์เป็นอาชีพหลัก หาซื้อหาจับหนังสือตามแผงแบกะดินต่างๆ ไม่ว่าจะในและต่างจังหวัดนั้น มันน่าสนใจกว่าคนที่มีการงานประจำอาชีพมั่นคงกว่าตรงไหน แต่เธอก็ชื่นชมคนรักของเธอให้ฉันฟังทุกครั้งที่เราเจอกันและสนับสนุนในสิ่งที่เขาทำเสมอ

เธอว่าอะไรที่เขาทำแล้วมีความสุขเธอไม่ขัด แต่ลึกๆ ฉันก็รู้สึกและแอบคิดว่าเขาจะเอาเปรียบเธออยู่หรือเปล่า ยุคสมัยนี้ค่าครองชีพก็สูง เธอทำงานประจำเพียงคนเดียว แต่เขาคนรักของเธอนั่งเล่นโทรศัพท์ตลอดเวลา เธอว่าทำงาน เขาต้องคอยดูความเคลื่อนไหวในหน้าซื้อขายตลอด ฉันอดเป็นห่วงเธอไม่ได้จริงๆ

เธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของฉัน ซึ่งฉันก็รู้จักนิสัยใจคอของเธอดีว่าเธอไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมคนเท่าไหร่ ยิ่งคนที่เธอคบอยู่ปัจจุบันเป็นพ่อค้าออนไลน์ที่เธอเคยซื้อหนังสือมือสองของเขา นัดเจอกัน พูดคุยกันถูกคอ แลกไลน์กัน และนับจากนั้นก็คบหากันเรื่อยมา จนตอนนี้เธอมาเช่าคอนโดอยู่และเขาก็มาอยู่กับเธอ ทำไมมันง่ายจัง ในช่วงระยะเวลาไม่ถึงปี เธอเพิ่งจะเรียนจบทำงานประจำได้สองปีกว่า ส่วนเขาเรียนไม่จบและอายุมากกว่าเธอเกือบสิบปี

ที่เธอตัดสินใจออกจากบ้านพ่อ-แม่มาเช่าคอนโดอยู่ลำพัง เธออ้างกับพ่อ-แม่แบบนั้นว่าต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ฉันว่าไม่ใช่หรอก เธอต้องการให้เขามาอยู่ด้วยมากกว่า ทำไมเธอถึงหลงเขาอย่างหัวปักหัวปำ สีผิวก็ต่างกัน เธอขาว เขาผิวเข้มและไว้หนวดเครา หรือเธอติดใจตรงมัดกล้ามที่ใครๆ เห็นเป็นต้องดึงดูดสายตา เสื้อยืดรัดหัวนม ยีนส์ขาด รองเท้าที่เหมือนไม่ได้ซักมาแรมปี ก็คงแล้วแต่ความชอบไม่ว่ากัน

เพราะฉันคงเป็นขั้วตรงข้ามกับเธอ ฉันชอบผู้ชายแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเกลี้ยงเกลา มีงานประจำทำเป็นหลักแหล่ง รองเท้าหนังขัดมัน เชิ้ตยัดในกางเกงตามแบบฉบับพนักงานออฟฟิศมากกว่า

เธอว่ามากกว่านั้น มีอะไรที่มากกว่านั้นที่ทำให้เธอชอบเขา

เธอว่าเขาทำให้เธอผ่อนคลาย เป็นการระบายออกอย่างหนึ่งทางร่างกายที่ก่อนมีประจำเดือนผู้หญิงต้องการ ฉันว่าแล้วเธอต้องหมายถึงเรื่องอย่างว่า สิวขึ้น หงุดหงิดง่าย ภาวะอารมณ์แปรปรวน เธอว่าเขาช่วยคลายจุดตรงนี้ เธอมีความสุขขึ้นเยอะ พักหลังเธอชอบพูดเรื่องทำนองนี้ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเลย แต่สารภาพว่าฉันก็ชอบฟังนะ ตอนนี้ฉันยังไม่มีแฟน ยังไม่เจอคนที่ถูกใจจริงจัง พอฟังเธอพูดอย่างเปิดเผยถึงเรื่องนี้แล้ว หัวใจฉันเต้นแรงทุกที

เธอว่าเขาอารมณ์ทางเพศรุนแรงเหมือนในหนังสมัยเรียนที่กลุ่มเราเคยนั่งดูกัน ฉันว่าขนาดนั้นเชียว เขาเอาเข็มขัดรัดแขนเธอเหมือนในหนังด้วยหรือเปล่า เธอว่าไม่ถึงขนาดนั้น แต่เหมือนสิ่งที่เคยเห็นในหนังที่เราเคยคุยกันขำๆ ว่าเวลาทำกันจริงๆ มันจะนานขนาดนั้นหรือเปล่า เขาทำเธอกรีดร้องอย่างเสียวซ่าน สองมือจิกแผ่นหลังของเขาอย่างถึงอารมณ์หมาย กว่าที่เขาจะเสร็จสักรอบเธอก็ระบายความใคร่กระหายนั้นไปถึงห้าครั้งแล้ว

สิ่งที่เธอเล่าทำฉันกลืนน้ำลายลงคอ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะติดใจความป่าเถื่อนและมีความสุขได้ถึงเพียงนี้ สมัยเรียนดูไม่ออกจริงๆ ว่าเธอจะมีความสนใจสนุกเรื่องบนเตียง เด็กเรียนสวมแว่นตาอย่างเธอคงเก็บกดเรื่องนี้มาตลอด ช่วงที่กลุ่มเรามีแฟนกัน เธอไม่มีกับใครเขา ตั้งหน้าตั้งตาเรียน จดเล็กเชอร์แจกจ่ายให้เพื่อนๆ ช่วยงานกิจกรรมของคณะ จบมาด้วยคะแนนดีกว่าพวกเราในกลุ่ม แม้จะไม่ได้เกียรตินิยมมาประดับ แต่เธอก็เป็นเพื่อนที่น่ารักที่พวกเราในกลุ่มเอ็นดูมากที่สุด

พอเรียนจบ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป มีแต่ฉันกับเธอที่ยังติดสอยห้อยตามมาทำงานในบริษัทไอทีที่เดียวกัน หลังเลิกกับแฟนสมัยเรียนซึ่งเธอเองก็รู้จักดี ฉันยังไม่ได้เริ่มสานสัมพันธ์กับใครอีก ว่ากันว่าคนรัก คนที่จะเป็นคู่ชีวิตกัน หากไม่ใช่คนใกล้ตัวอย่างเพื่อนบ้าน เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนของเพื่อนแนะนำให้รู้จัก ก็คงจะเป็นเพื่อนร่วมงานนั้นท่าจะจริง เพราะพอเลิกใส่ชุดนักศึกษามาใส่ชุดพนักงาน เราก็ไม่ได้เจอใครอีกนอกจากเพื่อนร่วมงานด้วยกัน แต่คงไม่ใช่สำหรับเธอที่เลือกที่จะคบหาพ่อค้าหนังสือมือสองซึ่งเธอเป็นขาประจำซื้อหนังสือของเขาอยู่บ่อยๆ จนในที่สุดก็มาอยู่ด้วยกัน

เธอเด็ดเดี่ยวกว่าฉันเยอะ อย่างที่ฉันก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเหมือนไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ เธอกล้าออกมาอยู่คนเดียว กล้าพาคนรักมาอยู่ด้วยกัน กล้าที่จะเล่าเรื่องอย่างว่าอย่างออกรสให้ฉันฟัง ทั้งที่ในสมัยเรียนเธอไม่ใช่คนอย่างที่ฉันเคยเห็นในตอนนี้ เธอคงจะมีอะไรอีกเยอะที่เก็บซุกซ่อนเอาไว้ และฉันคงประเมินเธอต่ำไป

เธอว่านอกจากงาน หนังสือที่เธอชอบอ่าน ก็เรื่องนี้นี่แหละที่ช่วยให้ชีวิตเธอรื่นรมย์มากขึ้น ครั้งหนึ่งเธอเคยถามฉันอย่างตรงไปตรงมาว่า อย่าบอกนะกับแฟนสมัยเรียนไม่เคยทำอะไรกัน ฉันหน้าแดงก่ำมากที่อยู่ๆ เธอพูดขึ้นมา ฉันจึงกลบเกลื่อนความเขินอายและบอกเธอไปว่าเคยสิ ทำไมจะไม่เคย ทั้งที่ฉันกับแฟนตลอดสี่ปีที่คบหาดูใจกัน อย่างดีที่สุดก็แค่กอดจูบสัมผัสกัน แต่ไม่ถึงขนาดปลดเปลื้องเสื้อผ้าร่วมรักกัน แม้ฉันจะอยากลองมากแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันก็หักห้ามอารมณ์เอาไว้ไม่ปล่อยให้เลยเถิดไปมากกว่านี้ สารภาพจากใจว่าตอนที่กลุ่มเราผู้หญิงห้าคนรวมหัวเปิดคอมพ์ดูหนังกัน ฮอร์โมนแต่ละคนก็พลุ่งพล่านไปตามๆ กัน แต่มันก็แค่ช่วงเวลานั้น อยากรู้อยากเห็นอยากลอง

แต่ฉันไม่เคยทำเรื่องอย่างว่าเลย

คราวที่แล้วฉันแวะมาหาเธอโดยไม่ได้บอกกล่าว พอฉันทักไลน์ไปว่านั่งรออยู่ล็อบบี้หน้าลิฟต์ เธอว่าสวนกัน เธอออกมาซื้อของที่ห้างใกล้ๆ บอกให้ฉันขึ้นไปรอที่ห้องก่อน คนรักของเธออยู่ ฉันว่าไม่ดีกว่า รอเธอกลับมาก่อนค่อยขึ้นไปพร้อมกัน เธอว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอโทร.บอกว่ามีเพื่อนมาหา แถมยังพูดตลกใส่ฉันอีกว่า หากเขาทำอะไรเธอจะไปจัดการเอง ฉันหัวเราะขำตามเธอ แต่ก็ยังสองจิตสองใจ หลังวางสาย ฉันยังคงนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่อีกสักพัก สิบนาที ยี่สิบนาที จากนั้นจึงตัดสินใจกดลิฟต์ขึ้นชั้นแปดไปที่ห้องของเธอ

คนรักของเธอเปิดประตูออกมาในสภาพใบหน้าเกลี้ยงเกลา เขาโกนหนวดเคราทิ้งแล้ว จำได้ว่าก่อนหน้านั้นไว้ซะรกครึ้มน่ากลัวเชียว แต่งตัวสบายๆ เสื้อกล้ามสีขาว ยีนส์ขาสั้น เชิญให้ฉันนั่งตามสบาย ฉันคิดว่าจะตามสบายได้แค่ไหนกัน รูปแบบการจัดวางสไตล์เหมือนกันไปหมดทุกห้อง เปิดประตูเข้ามาเจอเฟอร์นิเจอร์วางตำแหน่งเดียวกันทั้งตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า โซฟาขนาดสองที่นั่งและโทรทัศน์จอแบนตั้งประจันอยู่ตรงหน้า ลึกเข้าไปซ้ายมือกั้นกระจกใสเป็นห้องนอนขนาดห้าฟุต ขวามือเป็นห้องน้ำและครัวขนาดเบียดเสียด มีระเบียงเล็กๆ เอาไว้ตากผ้าหรือออกมาชมวิว ซึ่งก็คือคอนโดฝั่งตรงข้าม ไม่ก็มองลงไปดูคนว่ายน้ำในสระเกลือซึ่งอยู่ด้านล่าง ฉันออกแปลกใจที่เธอเลือกอยู่ในกล่องคับแคบมากกว่าบ้านพ่อ-แม่ที่ออกจะสะดวกสบายกว่าเป็นไหนๆ

การต้อนรับของคนรักของเธอนี่ประทับใจฉันมากจริงๆ พอหยิบกระบอกน้ำพร้อมแก้วน้ำมาวางที่โต๊ะหน้าทีวีให้ฉันเสร็จสรรพ ก็หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ กดรีโมตเปิดโทรทัศน์ดูช่องหนังโมโน ผ่อนอิริยาบถแบบสบายๆ พาดแขนบนหลังโซฟาทั้งที่มีฉันนั่งอยู่ข้างๆ ฉันได้แต่กุมแก้วน้ำอยู่ในมือ ไม่มีบทสนทนาใด สายตาจ้องปะทะหน้าจออย่างเลี่ยงไม่ได้ จะผลีผลามลุกไปเปิดประตูออกจากห้องก็ดูจะน่าเกลียดเกินไป จึงได้แต่นั่งอยู่กับที่รอเพื่อนกลับมา

พอหนังเข้าสู่ช่วงโฆษณา เขาชำเลืองมองฉัน ถึงฉันไม่จ้องตอบกลับไป แต่ฉันก็รู้ว่าเขาลอบมองอยู่ ฉันแต่งตัวมิดชิด เสื้อเชิ้ตสีเหลืองแขนกุด กางเกงยีนส์ขาบาน ผมรวบตึงเผยลานหน้าผากกว้างและต้นคอ ไม่ได้เว้าเผยเนินอกหรือเสื้อรัดตึงแต่อย่างใด เสียงถอนหายใจเขายินดังมาถึงฉันขณะที่โฆษณายังดำเนินต่อไป เมื่อไหร่หนังจะมาสักที ฉันแอบคิด หรือฉันจะเสียมารยาทลุกออกไปเลย ไม่ทันจะขยับลุก เขาก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ ยื่นมือจับต่างหูเต่าทองที่อยู่หูซ้ายของฉัน นิ้วมือของเขาสัมผัสติ่งหูฉันเบาๆ ใบหน้าที่โน้มเข้ามาจนได้กลิ่นกายของเขา เขาใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งค่อยๆ ลูบคลึงเต่าทองแล้วบอกว่าสวยดี ขณะที่ฉันนั่งหายใจไม่ทั่วท้องทำอะไรไม่ถูกเหมือนติดกับใยแมงมุงเหนียวหนืด หน้าผากกว้างบ่งบอกนะ เขาพูด สองมือจับแก้วสั่นอย่างบอกไม่ถูก

ฉันพยายามจะพูดว่าบ่งบอกอะไร โฆษณาก็ตัดกลับมาที่หนังพอดี เขาโน้มตัวกลับไปนั่งท่าเดิม สักพักเธอเคาะประตู เขาลุกเดินไปเปิด

คืนนั้นทั้งคืนฉันนอนไม่หลับ ภาพคนรักของเธอตามติดตลอดคืน เหมือนเขาตามกลับบ้านมากับฉันด้วย พอฉันเปิดประตูเข้ามา ทักทายพ่อ-แม่เสร็จ ไม่ทานข้าวเย็น ฉันเดินใจลอยขึ้นชั้นสองเปิดประตูเข้าห้อง หลังอาบน้ำ ฉันในชุดนอนสีขาวนั่งขยี้ผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองต่างหูเต่าทองสีเงินข้างที่เขาสัมผัส คิดถึงลมหายใจและกลิ่นตัวของเขา ลานหน้าผากกว้างที่เขาพูดถึง ฉันกลับมาหายใจแรงขึ้นอีกครั้ง เป่าลมออกจากปาก ยังคงคิดถึงช่วงเวลาสั้นๆ นั้นก่อนเพื่อนจะกลับเข้ามาแล้วพูดติดตลกใส่เขาทันทีว่าทำมิดีมิร้ายเพื่อนฉันรึเปล่า เขาบอกเธอให้ถามฉันดูเอง ซึ่งตอนนั้นฉันได้แต่ยิ้มให้เธอแทนคำตอบ

หลายวันถัดมา ฉันมาโดยไม่ได้นัดหมาย ไลน์หาเธอฝากบอกที่ทำงานว่าลาป่วย เธอส่งไอคอนหน้ายิ้มตอบกลับ แล้วส่งข้อความตามว่าเลิกงานจะแวะไปเยี่ยมฉันที่บ้าน ฉันว่าไม่เป็นไร ปวดหัวนิดหน่อย คนรักของเธออยู่ห้องทำงานซื้อขายออนไลน์อยู่กับมือถือเครื่องเดียว เปิดประตูต้อนรับฉันและไม่เอ่ยถามอะไร เขาอยู่กับบ้านในชุดเสื้อกล้ามกางเกงยีนส์ขาสั้นเหมือนเก่า หนวดเคราเริ่มเขียวขึ้น เพียงสองสามวันเท่านั้นเอง เขาคงเป็นคนขนดก เห็นได้จากแผงอกที่เข้มดำโผล่แพลมออกมาให้เห็น วันนี้ฉันใส่เสื้อยืดสีขาวรัดรูป ชั้นในยัดฟองน้ำ กางเกงยีนส์กระบอกเล็ก รวบผมเผยลานหน้าผากและต้นคอพร้อมต่างหูคู่เก่าเหมือนเคย

ฉันนั่งลงที่เดิม มือหนึ่งเขายังอยู่กับโทรศัพท์ อีกมือเปิดตู้เย็นหยิบกระบอกน้ำแล้วเดินมาส่งให้ฉัน เขาลืมแก้วน้ำ แต่ไม่ลืมที่จะกลับมานั่งลงข้างๆ ฉัน วางโทรศัพท์ หยิบรีโมตกดเปิดโทรทัศน์ช่องเก่า แต่เปิดมาเจอโฆษณา หอมดี เขาพูดขึ้น คงต้องหอมละ ฉันคิด น้ำหอมของ Dior กลิ่นดอกกระดังงา หลายพันอยู่ ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรและก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ฉันทำตัวแย่ๆ แบบนี้ แอบมาหาคนรักของเพื่อนถึงที่ ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจสั่งให้ฉันทำ เวทมนตร์ใดจากการลูบคลึงใบหูคราวก่อนสะกดให้ฉันต้องกลับมาอีกครั้ง และมาอย่างตั้งใจ ตอนเธอไม่อยู่

ลานหน้าผากสวย เขายังคงพูดเหมือนครั้งก่อน แต่คราวนี้เขาโน้มตัวเข้ามาหาฉันทั้งตัว สองมือหนาใหญ่แต่ไม่สาก จับใบหน้าฉันหันมองสบตาเขา ฉันร้อนวาบไปทั้งตัว ใบหน้าใกล้ชิดกัน ลมหายใจรดรินกัน เขาเริ่มสัมผัสลานหน้าผากโหนกนูนของฉันอย่างแผ่วเบา นิ้วชี้หมุนวนอย่างเชื่องช้าๆ ก่อนจะลากนิ้วลงมาแตะที่จมูกและมาหยุดที่ปาก แล้วลากวนคลึงเล่นอยู่ที่ปากของฉัน

ฉันหลับตา เคลิ้มคล้อย ลิ้นค่อยๆ แลบออกมาเลียนิ้วของเขา เขาค่อยๆ ดันนิ้วเข้าปาก แล้วชักเข้าชักออกอยู่อย่างนั้น ไม่นานนักเขาก็ดึงนิ้วที่ชุ่มฉ่ำน้ำลายของฉันออกมาใส่ปากของตัวเอง ฉันยังคงห่อปาก คราบน้ำลายยังเลอะคาปาก หัวใจเต้นระส่ำ ระบบภายในร่างกายร้อนเร่า ตื่นตัว หน้าอกคัดตึง ขาทั้งสองข้างบดเบียด ร่างทั้งร่างสะท้านไหว ฉันรู้ และเขาก็รู้ความต้องการของฉัน แต่เขาไม่ทำต่อ พอหนังมา…เขาก็หยุดแค่นั้น

ฉันหายใจแรงมองหน้าเขา แต่เขาจ้องมองภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าตาไม่กะพริบ ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาแกล้งฉัน ตั้งใจปล่อยให้ฉันค้างคา ฉันว่าจะถาม แต่มือของเขาก็วางทาบลงที่เป้ากางเกงยีนส์ของฉัน ตายังคงจ้องมองโทรทัศน์ แต่มือกดบีบลงที่เป้าเนินของฉัน จนหัวของฉันเอนพิงพนักโซฟา หัวใจกลับมาเต้นแรงขึ้นๆ มือของเขากดลูบขึ้นลงเร็วขึ้นๆ ไม่ทันไรฉันก็กรีดร้องออกมา เนินถันเต่งตึงคับแน่น สารคัดหลั่งในตัวได้รับการปลดปล่อย และเป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่กับมือของตัวเอง ฉันหลับตาพิงพนักหอบเหนื่อยอยู่ตรงนั้น ส่วนเขายังจ้องมองหนังมาร์เวล

ทีแรกฉันคิดว่าเธอเสพติดเรื่องอย่างว่า ลงแดงอยู่กับเขาเพราะเรื่องทำนองนี้ แต่ไม่ใช่ ไม่ใช่เสียทีเดียว มันคือความรู้สึกผ่อนคลายที่ดีต่อร่างกายมากกว่าที่ฉันเคยทำกับตัวเอง ฉันเพิ่งเข้าใจอะไรมากกว่าเสพจากสื่อเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงอย่างเราต้องเก็บกดเรื่องอย่างว่าเอาไว้ทั้งที่ลึกๆ แล้วปรารถนาสิ่งเหล่านี้มาปรนเปรอเติมเต็ม คนรัก ชีวิตคู่ และการสัมผัสเรือนร่างระหว่างกัน เธอคงวาดหวังใครสักคนเข้ามาตอบสนองความโหยหานี้ ซึ่งนอกจากรักที่ยาวนานแล้ว เรื่องทางเพศก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญไม่แพ้กัน

ต่างกับฉันที่ต้องคบหาดูใจเนิ่นนานจนแน่ใจ และปกปิดความต้องการของร่างกายเอาไว้ อย่างที่เธอบอก อย่างที่เธอเล่าให้ฉันฟัง หลังเรียนจบ ทำงาน เธอได้รับอิสระจากครอบครัว และหลังจากนี้ เธอได้เป็นตัวของตัวเอง เธอไม่แคร์ว่าคนรักของเธอจะเป็นใคร เรียนจบจากที่ไหน ทำงานทำการอะไร เธอขอเพียงพูดคุยกันเข้าใจ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน เหล้า-เบียร์ได้ไม่ว่ากัน เธอขอเพียงเท่านี้ และคนรักของเธอก็เป็นในแบบที่เธอต้องการ แต่ที่มากกว่านั้นคือเขาเป็นคนชอบออกกำลังกายและปรนเปรอเรื่องทางเพศเธอได้สุขสมเหมือนหลุดออกมาจากในหนังที่เราเคยดูกัน แต่ฉันขอแถมอีกสักนิดว่า เขาไม่เหมือนในหนังก็ตรงที่ไม่มาเล่นกับฉัน ทั้งที่ฉันตั้งใจมาให้ท่าแท้ๆ ตรงนี้ทำฉันละอายใจ

สิ่งที่ฉันบ่นเบื่อ แต่ฉันก็ยังอยู่กับความบ่นเบื่อ…เธอว่า

ให้ฉันลองเปิดใจคบหาดูใจกับใครสักคน คราวนี้เป็นเธอที่มาสอนเรื่องความรักกับฉัน ทั้งที่สมัยเรียนกลุ่มเราเป็นห่วงเธอที่วันๆ เอาแต่อยู่กับหนังสือทั้งที่ตัวเล็กร่างบาง อกอึ๋มของเธอ แต่งหน้าทาปากสักหน่อยก็สวยไม่แพ้ใคร แต่เธอว่าไม่ชอบแต่งหน้าแต่งตัว เธอจึงใส่แต่กระโปรงสุ่มไก่จนเรียนจบมหาวิทยาลัย

เธอได้เลือกชีวิตอย่างสมใจหมาย ไม่ตามสังคม แต่งงานก่อนแล้วค่อยอยู่กิน ไม่เลือกว่าต้องเรียนจบมหาวิทยาลัยเหมือนกัน ลึกๆ แล้วเธอเป็นคนแหกคอกตัวแม่ขนานแท้ ฉันทึ่งกับสิ่งที่เธอทำและนำมาเล่าให้ฉันฟัง ฉันมันคนมองโลกสวยเกินไป ถ้าไม่ได้ระดับหัวหน้าหรือเท่าเทียมกันฉันไม่คบเด็ดขาด กลืนกินศักดิ์ศรีและกดเก็บความใคร่กระหายอยู่กับโทรศัพท์หลังเลิกงาน ถ่ายเซลฟี่ร้านอาหารร้านนั้นร้านนี้ อาหารเพื่อสุขภาพบ้าง น้ำหอมราคาแพงบ้าง เห่อเสื้อผ้าชุดใหม่ๆ ที่ซื้อได้ทุกสัปดาห์ แต่ทั้งหมดคือการเอาใจคนไม่รู้จักบนโลกออนไลน์ให้เข้ามาสนใจฉัน ทั้งหมดจริงๆ คือความว่างเปล่า บ่นเบื่อชีวิตซ้ำซากให้เธอฟัง โหยหาใครสักคน แต่ไม่พบเจอตามมาตรฐานที่ตั้งไว้

ฉันว่าจะไปปฏิบัติธรรม จิตใจคงดีขึ้น คงไม่คิดฟุ้งซ่านอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ฉันว่าจะหาวันลาพักร้อนไป เธอกุมมือฉันแล้วว่าก็ดีนะ ลองดู ทำอะไรแล้วสบายใจขึ้น เธอเห็นด้วย ฉันเหลือบมองนาฬิกาตอนนี้แปดโมงแล้ว ฉันมาหาเธอเช้าเกินไป เธอตื่นเช้าเหมือนวันทำงานปกติ เปิดประตูต้อนรับฉันในชุดเสื้อยืดตัวยาวลายสกรีนตัวกระรอกสีน้ำเงิน คนรักของเธอไม่อยู่ ออกไปวิ่งเหมือนทุกเช้า เธอชวนทานข้าวเช้าด้วยกัน รอคนรักของเธอวิ่งกลับมาก่อน ฉันอ้างว่าจะไปทำธุระต่อทั้งที่เวลาห้างยังไม่เปิดอย่างนี้ ไม่รู้จะไปทำอะไรที่ไหนแต่เช้าในวันหยุดที่ส่วนใหญ่แล้วฉันจะหลับยาวจนถึงเที่ยงกว่าจะตื่น

แต่ใจฉันคงคิดฟุ้งจริงๆ จนนอนไม่หลับ แต่ไก่โห่ฉันจึงบึ่งรถมาหาเธอ

เดินมาลานจอดรถชั้นล่าง เดินใจลอยไม่ทันสังเกตว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้น ใกล้รถสวิฟท์คันสีแดงเพิ่งถอยมาใหม่ของฉัน คนรักของเธอในชุดเสื้อกล้ามสีขาวชุ่มเหงื่อ กางเกงขาสั้นรัดแน่นสีดำชุ่มฉ่ำไม่แพ้กัน รองเท้าผ้าใบไนกี้สีดำ ฉันเงยหน้าขึ้นมอง เราสบตากันและกัน ร่างใหญ่พร้อมมัดกล้ามยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ก่อนเดินสองก้าวถึงตัวฉัน

ในใจฉันอยากคลี่คลายเมฆหมอกทึมเทา อยากปลดปล่อยตัวตนละจากทางโลกชั่วคราว แต่คนตรงหน้าที่ยืนบดบังร่างฉันมิดและยังคงจ้องสบตาไม่พูดอะไรอยู่นี้ทำให้ฉันเกิดสับสนขึ้นมา ฉันคิดถึงเรื่องราวครั้งก่อนหน้านั้น เรื่องที่ฉันเคยแอบดูถูกเขา แต่ฉันก็มาให้ท่าเขา ท้าทายให้เขาทำ แต่เขาก็ไม่ทำมากไปกว่านั้น

ใบหน้าของเขากลับมารกครึ้มด้วยหนวดเคราเหมือนตอนที่เธอแนะนำให้ฉันรู้จักครั้งแรก เหงื่อกาฬจากการวิ่งยังคงอาบเต็มใบหน้ากับแผงหน้าอกหนาดกที่กระเพื่อมขึ้นลงของเขา ฉันคิดถึงนิ้วมือของเขาที่วนเล่นอยู่ที่ริมฝีปากของฉันก่อนจะยัดมันเข้าปากขึ้นมาอีกครั้ง มันทำให้ร่างกายของฉันร้อนวาบขึ้นมาอีกหน

ท่ามกลางความเงียบที่เหมือนหายเข้าไปในหลุมดำ เสียงทุ้มๆ ของเขาก็เอ่ยขึ้น

“ลานหน้าผากสวย”

มันคงเหมือนความสะใจในเกมกีฬาที่ผู้ชายเตะบอลเข้าประตู ตีกอล์ฟลงหลุม ยัดแป้นลงห่วง ซึ่งฉันจะยอมแพ้พ่ายถูกยัดเข้าหลุมหรือเลือกปกปิดหลุมไว้แล้วไปปฏิบัติธรรม

ฉันต้องตัดสินใจ…