ปรับฮวงจุ้ยทำเนียบฯ “อ่างบัวสี” รับ “ปรองดอง” ไม่ทันไร “รั่ว” ชั่วข้ามคืน

เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ทำเนียบรัฐบาลปรับภูมิทัศน์ใหม่ นำอ่างบัวสีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร สูง 60 เซนติเมตร จำนวน 10 อ่าง มาตกแต่งสนามหญ้าหน้าตึกบัญชาการ ตึกไทยคู่ฟ้า และศาลพระภูมิตายายซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล

เพื่อเพิ่มความสวยงามและเสริมสิริมงคล ตามที่หลายฝ่ายเชื่อ

เป็นการสื่อถึงจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เบิกบานแจ่มใส รวมถึงสานสายใยความสัมพันธ์ที่แนบแน่น

สอดรับการเดินหน้ากระบวนการปรองดองที่กำลังก่อร่างสร้างตัวภายใต้การดูแลคณะใหญ่ อย่าง ป.ย.ป. ของรัฐบาล-คสช.

โดยผู้ที่เข้ามาดำเนินการก็เป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์ และดีกรีแชมป์รางวัลจัดสวนระดับโลกทั้งนั้น

ซึ่งครั้งนี้ สวนนงนุช ได้เข้ามาปรับภูมิทัศน์โดยนำบัวที่เชื่อกันว่าสายใยจะนำมาซึ่งความสัมพันธ์รักใคร่ ปรองดองของทุกคน มาประดับในทางที่นายกรัฐมนตรีเดินผ่าน

ตามตำราพิชัยสงคราม รูปทรงดอกบัวก็ถือเป็นการจัดวางทัพแบบหนึ่ง

ขณะเดียวกัน ตามความเชื่อของอียิปต์โบราณ ดอกบัวเป็นตัวแทนของการเกิดใหม่ ความตาย และการผนึกรวม

เสริมดวงกันมาแบบนี้ ไม่รู้ว่าใยบัวจะช่วยเสริมความปรองดองได้แค่ไหน

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เองก็ยังตัดพ้อว่า รัฐบาลต้องทำยุทธศาสตร์ปฏิรูปและปรองดอง เพื่อไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ปรองดองเพื่อสร้างบรรยากาศการปฏิรูปและยุทธศาสตร์

แต่ถ้าทะเลาะเบาะแว้งก็ทำไม่ได้ พังทั้งหมด ไม่ใช่แค่ตนหรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่หมายถึงทั้งรัฐบาลและคนไทยทั้งประเทศ

ถ้ายังรู้สึกว่าเป็นคนไทยอยู่ ก็ต้องช่วยกันเดินหน้าเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ค้าน

ส่วนสื่อก็อย่านำทุกเรื่องไปเป็นประเด็น ทั้งเรื่องสำคัญ ไม่สำคัญ เรื่องงี่เง่า แล้วกลับมาบอกว่าต้องการปรองดองให้ใช้มาตรา 44 มิเช่นนั้น ต่อให้มาตรา 88 ก็ทำไม่ได้

หากมองย้อนกลับไป การปรับภูมิทัศน์ของทำเนียบรัฐบาลเกิดขึ้นในทุกยุคทุกรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ

แทบจะเรียกได้ว่า เป็นธรรมเนียม หรือเชื่อมโยงกับฮวงจุ้ย ตามความเชื่อโหราศาสตร์เสมอ ซึ่งการปรับฮวงจุ้ยนั้นเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล บรรหาร ศิลปอาชา มีการนำของขลังเข้ามาวางในตึกไทยคู่ฟ้า

ส่วนการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบทำเนียบรัฐบาลนั้น เริ่มต้นในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โดยปรับรั้วจากเดิมที่เป็นแบบทึบให้เป็นแบบโปร่ง

และได้ย้ายศาลพระภูมิวางในจุดใหม่เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม

ซึ่งมีข้อสังเกตและนำไปเชื่อมโยงกับชีวิตของอดีตผู้นำ ว่า อำนาจของนายทักษิณค่อยๆ ตกต่ำลง และในที่สุดก็ต้องพ้นจากตึกไทยคู่ฟ้าจากการถูกรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 รวมถึงต้องออกจากแผ่นดินไทยไปอยู่ในต่างแดน

ก็ไม่รู้ว่าดวงของผู้นำจะเชื่อมโยงกับสถานที่ทำงานแค่ไหน เพราะในสมัยรัฐบาลอื่นๆ อย่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่นำลูกแก้วสีมาช่วยเสริมดวง แถมนำต้นปาล์มยะวาแบบใบพัดมาช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย

และรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งปรับทิศทางปืนใหญ่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งย้ายศาลพระภูมิแล้ว การทำงานที่ผ่านมาก็ยังไม่ราบรื่นจนป่านนี้คดีความต่างๆ ก็ยังค้างคาให้สะสางไม่เสร็จสิ้น

ส่วนรัฐบาลปัจจุบัน แม้จะปรับภูมิทัศน์ทำเนียบมาหลายครั้ง ตั้งแต่ก่อนที่นายกฯ บิ๊กตู่จะเข้ามาทำงาน ใช้งบประมาณไปถึง 300 ล้านบาท การต่อเติมตึกบัญชาการ การสร้างอาคารรับรองหลังใหม่ ก็ยังไม่วายมีเรื่องให้ปวดหัวตลอดเวลา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังย้ำอย่างหนักแน่นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับดวง เพราะคนจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การกระทำ

“ไม่สังเกตเหรอต้นไม้สีเหลือง มีตั้งนานแล้ว ทำไมไม่ว่าผม ดอกดาวเรืองอยู่ริมประตูเคยเห็นหรือไม่ หรือไม่สนใจ เห็นอะไรตั้ง ก็มีเรื่องขึ้นมาทันที ผมไม่จำเป็นต้องดูเรื่องฮวงจุ้ย แต่อยู่ที่การทำงาน วางอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทุจริตผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าไม่ตั้งใจทำงาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ ผมเป็นคนชอบบัวหลวง แต่บัวหลวงปลูกไม่ได้เพราะต้องเป็นน้ำลึก หากชำรุดก็ให้เขาซ่อมชดใช้ อย่าไม่มองเรื่องเล็กน้อย”

“อ่างบัวสี” จะช่วยนายกฯ บิ๊กตู่ได้มากแค่ไหนไม่รู้ แต่ยังไม่ทันข้ามวัน “อ่างบัวสี” ราคาใบละ 5,000 บาท 1 ใน 10 อ่างของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็รั่วเสียแล้ว

จะส่อเค้าอะไรหรือไม่ ก็ไม่ทราบ

แต่ซินแสชื่อดังอย่าง นายภานุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล บอกว่า วิธีปลูกบัวสีที่ทำเนียบรัฐบาลไม่น่าจะเกี่ยวกับการปรับฮวงจุ้ย หรือเสริมดวง เพราะด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า มีคลองเปรมประชากร และด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า ก็มีคลองน้ำไหลผ่านอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสริมฮวงจุ้ยด้วยกระถางบัว

เหมือนจะมารับกับคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่า การนำอ่างบัวมาประดับไว้ในทำเนียบฯ เพื่อความสวยงาม ซึ่งทุกที่ก็ได้ให้นโยบายไปแล้วว่าจะต้องมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงาม เป็นที่ประทับใจของผู้มาเยือน หรือจะอยู่กันแบบเดิมๆ ไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งเซ็นหนังสือก็จบ สิ่งที่ทำนั้นไม่ได้ก่อความเสียหาย

“ความจริงผมไม่อยากพูดเรื่องบัว บัวถือเป็นพืชสกุลสูง นำไปไหว้พระ ถือว่าเป็นมงคล เป็นคติเตือนใจว่าทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง อย่าทำตัวเหมือนบัวใต้น้ำ เพราะจะเป็นอาหารของเต่าปูปลา และอย่าพูดว่ารัฐบาลนี้เอาแต่ของดีๆ มาฉาบฉวยเหมือนบัวพ้นน้ำ แต่เรื่องไม่ดีกลับหมกโคลนตม ก็ผมกำลังขุดโคลนตมขึ้นมา ที่มีการฟ้องร้องกันทุกวัน อย่างเมื่อวานมีเรื่องทุจริต นั่นมันโคลนตมหรือไม่”

“บิ๊กตู่” ว่ามาอย่างนี้ แถมบอกเหตุผลชัดเจนด้วยว่า อย่างหนึ่งคือดูเป็นตัวอย่างสวยงาม ส่วนที่สองไม่ใช่การเสริมฮวงจุ้ย แต่พวกสมองไม่เปลี่ยนอยู่ข้างล่างก็จะเป็นอาหารของพวกเต่าปลา แถมตอบย้ำกับผู้สื่อข่าวชัดๆ เลยว่าที่นี่มีแต่บัวพ้นน้ำทั้งนั้น

พูดมาแบบนี้ ไม่รู้ว่าเหน็บใคร แต่เมื่อซินแส “ตู่” มาเอง ก็ต้องเชื่อบ้างล่ะ แถมยังไม่วาย ทำนายทายทักว่า ในปี 2560 เป็นปีแห่งการเปิดเผยข้อเท็จจริงเสียด้วย

“ดูแล้วกันตามคำโหราศาสตร์ในหนังสือ ปีนี้เป็นปีแห่งคนไม่ดีที่จะต้องถูกอะไรก็แล้วแต่…เพราะฉะนั้น ให้ทำตัวเป็นคนดี มีคุณธรรม อยู่ในศีลธรรมอันดี ทำงานเพื่อประเทศชาติ ช่วยกันไม่โกงกิน ไม่ทุจริต ผมว่ามันอยู่ได้ หมอดูเขาบอกไว้แล้ว โหราศาสตร์ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่”

เชื่อได้รึเปล่าก็ไม่กล้าฟันธง แต่ขอย้ำกันอีกที จำไว้นะ

“โหราศาสตร์ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่”