ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 กันยายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | การ์ตูนที่รัก |
ผู้เขียน | นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ |
เผยแพร่ |
การ์ตูนที่รัก/นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
สูญสิ้นความเป็นคน ตอนที่ 3
สึเนโกะเป็นสาวบาร์ ชีวิตของเธอแสดงออกให้เห็นด้วยรูปกายภายนอกของเธอ เป็นชีวิตที่หดหู่ไม่มีความหมายอะไรมากมายทั้งปัจจุบันและอนาคต
สึเนโกะมาพบโอบะ โยโซ ในวันที่เขาตกต่ำ ไม่มีเงิน ดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน ทั้งที่ยังเรียนอยู่ สองคนพูดคุยกันถูกคอแล้วนอนด้วยกัน หลังจากนั้นก็มิได้พบกันอีก
จุนจิ อิโต เริ่มเขียนเรื่องไม่ตรงกับที่ปรากฏในหนังสือมากขึ้น เขาเล่าเรื่องสาวคอมมิวนิสต์ที่เข้ามาติดพันโยโซคนหนึ่ง คงจะตั้งใจใช้ภาษาภาพเพื่อตอกย้ำให้นักอ่านเห็นว่าชีวิตของเขามิเพียงยุ่งเหยิง แต่ยังแวดล้อมด้วยอิสตรีและกามมากเพียงใด หากอ่านหนังสือต้นฉบับก็รู้สึกได้ว่าตอนกลางเรื่องนี้ โอซามุ ดะไซ เขียนยืดยาวจับใจความได้ยากด้วยส่วนใหญ่เป็นบทรำพึงและบทสนทนาที่เข้าใจยาก
“คุณพี่อายุ 21 เหรอ? ถ้างั้นฉันก็อายุมากกว่าสองปีสินะ” สึเนโกะพูดในหนังสือการ์ตูน
ดะไซเขียนคำบรรยายในตอนที่หนุ่มสาวทั้งสองพบกันครั้งแรกว่า “บนร่างของเธอมีกระแสความเดียวดายที่ไร้เสียงกว้างราวหนึ่งนิ้วหลั่งไหลอย่างเชี่ยวกราก พอร่างผมเข้าใกล้เธอ ก็ถูกกระแสนั้นโอบไว้แน่น บรรจบกับกระแสที่หมองเศร้าของผมเองได้อย่างกลมกลืนพอดี เป็นเสมือนใบไม้แห้งร่วงบนก้อนหินใต้น้ำ ทำให้ผมหนีได้จากความกลัวและไม่สบายใจ”
แล้วอิโตก็วาดภาพร่างของคนทั้งสองหลอมละลายเป็นของเหลวก้อนใหญ่บนเสื่อนั้นเอง
โยโซมักได้พบสตรีที่อายุมากกว่า และคลอเคลียสตรีนั้นเพื่อดับความเหงาและเศร้าสร้อยในใจตน
ความรู้สึกของโยโซมีแต่คนที่ผ่านประสบการณ์วัยเด็กขมขื่นจึงเข้าใจ
มีแต่ดะไซกระมังที่เขียนถึงความรู้สึกที่ว่าให้กลายเป็นรูปธรรมตามความเข้าใจของเขา
นั่นคือ “กระแสแห่งความเดียวดายที่ไร้เสียงกว้างราวหนึ่งนิ้วหลั่งไหลอย่างเชี่ยวกราก”
แม้ว่าคำพรรณนานี้จะใช้กับสึเนโกะ แต่ก็เป็นความรู้สึกที่โยโซได้โยนกลอง (projection) ให้สึเนโกะก่อนหน้านั้นแล้ว
นี่จึงอาจจะเป็นครั้งแรกที่โยโซสุขสมและปลอดภัยได้อย่างแท้จริง
เพราะอะไรต้องหนึ่งนิ้ว หนึ่งนิ้วนั้นน้อยนิด คือความรักที่เขาเคยได้รับจากมารดา
“หมดเงินก็หมดรัก” เป็นวลีที่การ์ตูนใช้
“พอเงินหมด สายใยก็ขาด” เป็นสำนวนแปลในหนังสือ
อ้างอิงจากคำอธิบายของคานาซาวาว่าหมายถึง “พอไม่มีเงิน ผู้ชายเองจะห่อเหี่ยวท้อแท้ทำตัวบัดซบ”
จากนั้นจะอารมณ์ไม่ดี หาเรื่องผู้หญิง แล้วละทิ้งผู้หญิงไปเอง
มิใช่ผู้หญิงหรอกที่เป็นฝ่ายหมดเงินก็หมดรัก เป็นบุรุษสิ้นไร้ไม้ตอกนั่นแหละที่โยนความผิด (projection) ให้แก่สตรี
อิโตวาดภาพผีปีศาจรายลอบโยโซเป็นระยะ แล้ววันหนึ่งโยโซกับสึเนโกะก็ชวนกันไปฆ่าตัวตาย
หนังสือบรรยายฉากนี้เพียงว่า “ผมเองก็ถอดเสื้อคลุมวางบนหินก้อนเดียวกัน แล้วกระโดดลงน้ำพร้อมกัน เธอตาย แต่ผมรอด”
แต่อิโตเขียนภาพหลายภาพให้นักอ่านได้เห็นสภาพการตายของสึเนโกะอย่างทรมานและอุจาด ดิ้นรนกระเสือกกระสนเพราะพิษยาที่กินจนตาเหลือกถลน เส้นเลือดปูดโปน ลิ้นจุกปาก เท่านี้ยังไม่พอ โยโซยังมีประสาทหลอนเห็นสตรีทั้งในอดีตและปัจจุบันหลายนางมาชี้นิ้วสั่งให้เขาถีบสึเนโกะลงน้ำอีกด้วย
คำบรรยายในหนังสือมิได้พูดเรื่องการกินยาและมิได้พูดเรื่องการใช้เท้าถีบสึเนโกะลงน้ำ มากไปกว่านี้การ์ตูนมิได้วาดภาพโยโซกระโดดลงน้ำด้วยซ้ำไป เขาเพียงหมดสติไปเพราะฤทธิ์ยาพิษที่กินแล้วไปตื่นที่โรงพยาบาลที่ซึ่งมีพยาบาลสาวๆ หัวเราะคิกคักอยู่รอบตัว
ดูเหมือนกรรมที่เขาก่อยังไม่หมดสิ้น
ตามประวัติโอซามุ ดะไซ ฆ่าตัวตายหลายครั้ง
โอซามุ ดะไซ เกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างร่ำรวย บิดาเป็นนักการเมืองที่ไม่มีเวลาให้ใครมากนัก
มารดาของเขาป่วยกระเสาะกระแสะจากการมีลูก 11 คน จึงมิได้ใกล้ชิดกับเขา เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อปี 1927 และฆ่าตัวตายครั้งแรกเมื่อปี 1929
เขาทำตัวเหลวแหลกจึงถูกตัดออกจากตระกูล ยากไร้ ไร้เงิน อาศัยอยู่กับสาวบาร์คนหนึ่งซึ่งทั้งสองชวนกันกระโดดน้ำตายในปี 1930 หญิงสาวตายแต่เขารอด
ข่าวนี้ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ดังที่เห็นในการ์ตูนและปรากฏในตัวนวนิยาย ตำรวจเข้ามาสืบสวนคดีมีรายละเอียดน่าอ่านทั้งในหนังสือการ์ตูนและในหนังสือด้วย
ตระกูลของโยโซเข้ามาช่วยเหลืออีกครั้งหนึ่ง แม้กระทั่งเสนอความช่วยเหลือที่จะให้เขาเรียนต่อ
แต่เขาไม่รับความช่วยเหลือนี้
หลังคดี ชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นที่รู้จักของครอบครัวได้รับโยโซไปอยู่ด้วย ชายคนนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าฮิราเมะ เพราะเขาตาโปนเหมือนปลาฮิราเมะ เขากำชับนักหนาให้โยโซอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปให้คนเห็น และขังเขาเอาไว้เช่นนั้นด้วยกลัวว่าเขาจะฆ่าตัวตายซ้ำอีก
จนกระทั่งวันหนึ่งฮิราเมะจึงได้พูดคุยกับเขาถึงเรื่องอนาคต ว่าเขาอยากจะทำอะไรต่อ แต่ลักษณะการพูดจานั้นวกวน อ้อมค้อม รอให้โยโซเป็นฝ่ายเอ่ยปาก ร้องขอ มากกว่าที่จะบอกออกไปอย่างตรงไปตรงมาว่าตระกูลของเขาแจ้งมาว่ายินดีส่งเสียเขาเรียนหนังสืออีกครั้งหนึ่ง
บทสนทนาตอนนี้ดีมาก สำนวนของวิภาดา กิตติโกวิท ในหนังสือ สูญสิ้นความเป็นคน สำนักพิมพ์คนบ้าหนังสือ พ.ศ.2561 ลงไว้อย่างละเอียด
“ถ้าเธอไม่จริงใจที่จะขอความเห็นฉัน ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“ความเห็นอะไร?” ผมงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้เขาจะบอกอะไร
“เกี่ยวกับเรื่องที่เธอคิดอยู่”
“เช่น?”
“เช่น ต่อจากนี้เธอคิดจะทำอะไร?
“หางานทำใช่ไหม?”
“ไม่ ฉันถามว่าเธอคิดอย่างไร?”
“แต่ถึงผมจะอยากเข้าเรียนก็…”
“ต้องมีเงิน แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงิน อยู่ที่ความคิดเธอ”
นี่คือบทสนทนาคลาสสิคที่คนส่วนใหญ่มักกระทำต่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้า กล่าวคือ ถืออำนาจตนเองเอาไว้เหนือกว่า สำคัญผิดว่าตนเองเป็นผู้ลิขิตชีวิต มิได้เข้าใจผู้ป่วยตามที่เป็นจริง และคาดหวังอย่างไร้เหตุผลว่าพวกเขาจะลุกขึ้นได้เองโดยปราศจากความช่วยเหลือ ในขณะที่โยโซเล่าว่า
“ก็ทำไมเขาไม่พูดชัดๆ ว่า ทางบ้านจะส่งเงินมาให้เล่า? พูดแค่นั้นผมก็ตัดสินใจได้ แต่ทีนี้เหมือนทำผมหลงไปในกลางหมอก”
จริงหรือถ้าปลาตาโปนฮิราเมะอันน่ารังเกียจ ซึ่งเป็นตัวแทนของพ่อ-แม่ พูดว่าจะให้เงินตรงๆ แล้วโยโซจะกลับตัวกลับใจได้?
จบเล่ม 1