‘รมว.ดีอี’ ลงพื้นที่เยี่ยม ‘ไปรษณีย์’ กำชับเร่งปรับตัว ขีดเส้น 1 เดือน ส่งแผนปรับปรุง

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยในการตรวจเยี่ยม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ว่า ปณท ถือว่าเป็นองค์กรที่อยู่มาอย่างยาวนาน มีเจ้าหน้าที่ที่เข้าถึงการบริการทุกพื้นที่ ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งขององค์กรที่จะต้องพัฒนาและส่งเสริมให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น โดยจากการลงพื้นที่เพื่อดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งมอบนโยบายเพื่อให้การขับเคลื่อนของ ปณท สามารถแข่งขันได้ จึงจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาองค์กรเพื่อให้ทันกับคู่แข่ง เพราะจากข้อมูลที่ได้รับบริษัทเอกชนมีการเติบโตอย่างมาก และมีการส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มมากขึ้น หากไปรษณีย์ไทยไม่มีการปรับปรุงอาจจะส่งผลกระทบกับรายได้ในอนาคต

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ได้มอบนโยบายและแนวทางการปรับปรุง โดย ปณท ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นในการให้บริการ มีความโปร่งใส พร้อมนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะกรณีการตรวจสอบพัสดุต้องสงสัย อาทิ อาวุธ ยาเสพติด หรือสิ่งต้องห้ามอื่นๆ เหมือนกับต่างประเทศ เพราะเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการตรวจสอบจะต้องสามารถทำได้ตั้งแต่ต้นทาง เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและตัวเจ้าหน้าที่คัดแยกเอง รวมทั้งในกระบวนการทำงานด้านอื่นๆ ก็จำเป็นจะต้องนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มเติมเช่นกัน นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ ปณท จัดทำแผนการปรับปรุง ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน รับมือสถานการณ์ในอนาคต เพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ภายใน 1 เดือน

“อีกปัจจัยที่สำคัญคือ ปณท ต้องมีการพัฒนาระบบบิ๊กดาต้า หรือการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ใช้บริการมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้รับรู้ถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค พร้อมนำมาพัฒนาเป็นงานบริการใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์และทันกระแสกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ปณท เป็นหน่วยงานที่สามารถเข้าถึงข้อมูลพื้นฐานของผู้ใช้บริการได้ดีอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับใช้ในการยกระดับองค์กรให้มีศักยภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแค่ไปรษณีย์ที่ต้องเข้าถึงเรื่องดังกล่าวเท่านั้น แต่ระบบบิ๊กดาต้า ถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับทุกองค์กร” นายพุทธิพงษ์ กล่าว

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า กรณีเรื่องการร้องเรียนต่างๆ นั้นเป็นเรื่องที่สร้างความไม่สบายใจให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ โดยที่ผ่านมากระทรวงไม่ได้นิ่งนอนใจและได้กำชับให้คณะกรรมการ ผู้บริหาร ดำเนินการภายใต้กรอบเวลา เพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใส เบื้องต้นอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อตรวจสอบให้รอบคอบ และรวบรวมเอกสารต่างๆ เพื่อที่จะชี้แจง โดยการดำเนินการจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามระบบ โดยหลังจากนี้หากตรวจสอบแล้วพบความผิด ก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์และนโยบายการเป็นองค์กร รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนว่าผู้บริหารทุกคนจะไม่ใช้องค์กรที่เป็นของคนไทยมาแสวงหาผลประโยชน์

นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดเผยว่า ปณท ได้พัฒนาและยกระดับการบริการตลอดเวลา ทั้งในแง่ของคุณภาพการให้บริการ ที่มีความครอบคลุม หลากหลาย และการดูแลพัสดุทุกชิ้น และในแง่ของความรวดเร็วในการขนส่ง ในการรายงานสรุปผลการดำเนินงานของ ปณท เกี่ยวกับภาพรวมกิจการ แบ่งเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.บริการไปรษณียภัณฑ์ 2.บริการขนส่งและโลจิสติกส์ 3.บริการระหว่างประเทศ และ 4.บริการค้าปลีกและการเงิน

นางสมร กล่าวว่า ปณท พร้อมขับเคลื่อนการทำงานตามนโยบายของกระทรวง และส่งเสริมความมั่นคงในภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้การแข่งขันทางธุรกิจโลจิสติกส์มีความรุนแรงมากขึ้น ปณท จึงปรับการดำเนินงานเพื่อตอบความต้องการและตรงตามพฤติกรรมของลูกค้า เช่น การเพิ่มบริการเก็บเงินที่อยู่ผู้รับ (ซีโอดี), การขยายเวลาให้บริการถึง 20.00 น. ในเขตเมือง และถึง 23.00 น. ในย่านธุรกิจ และให้บริการ 24 ชั่วโมง ในสนามบินสุวรรณภูมิ ศูนย์ไปรษณีย์ด่วนพิเศษกรุงเทพฯ และไปรษณีย์เดอะสตรีท เป็นต้น