ต่างประเทศ : ตามหาเหตุแห่งการระบาด เชื้อเอชไอวี ที่ปากีสถาน

ปากีสถานเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก โดยมีประชากรอยู่กว่า 200 ล้านคน ตอนนี้กำลังเผชิญกับปัญหาการระบาดของเชื้อเอชไอวี หลังจากพบว่าในพื้นที่แห่งหนึ่งทางตอนใต้ของปากีสถานมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ในช่วงเดือนที่ผ่านมา

ซีเอ็นเอ็นได้รายงานเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ เพื่อหาถึงสาเหตุของการที่มีชาวบ้านติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้น

ซีเอ็นเอ็นได้ยกตัวอย่างเรื่องราวของ “ฮาซาร์ ข่าน ซีลโล” ชายผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอัลลาห์ ดีโน ซีลโร ชุมชนเกษตรกรรมเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนใต้ของปากีสถาน หนึ่งในสมาชิกครอบครัว 5 คน ที่ติดเชื้อเอชไอวีในช่วงเดือนที่ผ่านมา

หมู่บ้านที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ในบ้านดิน ใช้มูลของวัวเป็นเชื้อเพลิงในการทำอาหาร และใช้ลาเป็นพาหนะในการขนสินค้า

ตอนนี้ไม่มีใครอยากคบค้ากับคนในครอบครัว “ซีลโล”

 

“พวกชาวบ้านไม่มาหาเรา ไม่แม้แต่จะกินอาหารกับเรา” ซีลโลกล่าว

นายแพทย์ราเมช ลาล เชติยา แพทย์ประจำโรงพยาบาลหลักของหมู่บ้านอัลลาห์ ดีโน ซีลโร บอกว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้มีประชากรอยู่ราว 1,500 คน โดยมีผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีในช่วงเดือนที่ผ่านมาถึง 21 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 17 คน

ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ระดับการเรียนรู้ถือว่าต่ำและการศึกษาเกี่ยวกับโรคก็ไม่เพียงพอ เท่ากับว่า ผู้คนไม่ได้เข้าใจว่าการติดเชื้อเอชไอวีจะติดต่อผ่านทางใด

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน ทางการปากีสถานประกาศว่า ในช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมามีผู้คนในเขตราโตเดโร จังหวัดซินดห์ ซึ่งรวมทั้งหมู่บ้านอัลลาห์ ดีโน ซีลโร ติดเชื้อเอชไอวีถึง 681 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กที่อายุ 2-12 ปี ถึง 537 คน

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสาเหตุหลักของการระบาดของเชื้อเอชไอวี น่าจะมาจากพฤติกรรมของแพทย์ ที่นิยมนำเข็มที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่

ซาฟาร์ มีร์ซา ผู้ช่วยพิเศษด้านสาธารณสุขประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปากีสถาน กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของปากีสถานคือ เข็มฉีดยาที่ใช้แล้ว จะถูกนำมาแพ็กและขายใหม่!!

 

ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ความหวาดกลัวเรื่องการระบาดของเชื้อเอชไอวีในปากีสถาน เริ่มตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อนายแพทย์อิมราน อาร์บานี ซึ่งเปิดคลินิกส่วนตัวอยู่ที่เขตราโตเดโร ออกมาแจ้งเตือนถึงการพบการระบาดของเชื้อเอชไอวีที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยนายแพทย์อาร์บานีได้แจ้งเตือนไปยังสื่อท้องถิ่นในเรื่องดังกล่าว นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีการตรวจคัดกรองผู้คนกว่า 14,000 คน แล้วก็พบจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้ระบบสาธารณสุขในพื้นที่เริ่มตึงเครียด โรงพยาบาลมีผู้ป่วยมากขึ้น

ตามรายงานของตำรวจที่ซีเอ็นเอ็นได้รับมา ระบุว่าช่วงสิ้นเดือนเมษายน ได้มีการจับกุมตัวนายแพทย์มูซาฟฟาร์ กางโร ในเขตราโตเดโร ข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตเอชไอวี และถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่า และทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือเป็นเหตุให้เหยื่อได้รับอันตรายอย่างรุนแรง

แต่ทนายความของนายแพทย์กางโร ยืนยันว่า ลูกความของตน “ไม่ผิด” และตกเป็นแพะรับบาปจากวิกฤตที่เกิดขึ้นเท่านั้น เพราะไม่มีการพบหลอดหยอดยาหรือเข็มฉีดยาที่ติดเชื้อภายในคลินิกของลูกความตน จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเรื่องจริง

 

แม้ว่าเอชไอวีจะเป็นที่หวาดกลัวกันในประเทศปากีสถานอยู่แล้ว และมีผู้ติดเชื้อทั้งเด็กและผู้ใหญ่ราว 150,000 คน แต่การระบาดที่เกิดขึ้นในจังหวัดซินดห์ถือเป็นเรื่องที่ “ผิดปกติ” เนื่องจากผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเป็น “เด็ก”

จากตัวเลขขององค์การอนามัยโลก (ฮู) พบว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตการระบาดของเชื้อเอชไอวีครั้งนี้ ปากีสถานมีเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีเพียง 1,200 คน

สถิติที่ผิดปกติในจังหวัดซินดห์นี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องลงพื้นที่สอบสวนหาสาเหตุการระบาดของเชื้อเอชไอวีที่มากผิดปกติ ซึ่งปกติแล้วเชื้อเอชไอวีสามารถแพร่ได้ผ่านทางเลือด การมีเพศสัมพันธ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

และเชื่อว่าเหตุของการระบาดในเด็กครั้งนี้ น่าจะมาจากการใช้ “เข็มฉีดยา”

 

นาซีม ซาลาฮุดดิน หัวหน้าฝ่ายโรคติดเชื้อแห่งโรงพยาบาลอินดัส ในนครการาจี ตอนใต้ของปากีสถาน เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า เธอได้เคยบอกกับทางการไปแล้วถึงอันตรายจากการใช้เข็มฉีดยาซ้ำตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.2017 แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครลุกขึ้นมาแก้ปัญหาอะไร

ทั้งนี้ การฉีดยาเป็นที่นิยมอย่างมากในปากีสถาน เนื่องจากความเชื่อที่ว่าการฉีดยาหรือหยอดยาจะรักษาโรคได้ดีกว่าการกินยา และการวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2005 พบว่ามีการฉีดยาที่มากเกินไปในจังหวัดซินดห์

ซาลาฮุดดินบอกว่า ในคลินิกเล็กๆ แพทย์ 1 คน อาจจะต้องรักษาผู้ป่วยถึงวันละ 200 คน และเพื่อประหยัดเวลา แพทย์เหล่านี้ก็จะนำเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่กับผู้ป่วยอีกคน

นางมาเรีย เอลนา จี ฟิลิโอ บอร์โรมีโอ จาก ยูเอ็นเอดส์ เห็นด้วยกับเรื่องความไม่ปลอดภัยในการนำเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำ รวมไปถึงการถ่ายเลือดที่ไม่ปลอดภัย ที่ถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ตอนนี้ฮูและทีมงานจากสำนักงานควบคุมโรค (ซีดีซี) จากสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางไปยังราโตเดโร เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงการระบาดของเชื้อเอชไอวีในพื้นที่ และหาวิธีในการควบคุมเชื้อไม่ให้แพร่ระบาดไปมากกว่านี้

ซึ่งมีร์ซาบอกว่า “ตราบเท่าที่เรายังหาสาเหตุของการระบาดไม่ได้ มันก็จะยังคงระบาดต่อไป”