กาละแมร์ พัชรศร : เดินทางลำพัง

ฉันรู้สึกว่าตัวเองห่างหายไปจากการเดินทางลำพังมานาน นับไปนับมาน่าจะสัก 2 ปีได้

เพราะระยะหลังมีเพื่อนพร้อมจะเดินทางด้วยอย่างสม่ำเสมอ

การเจอคนที่พร้อมในการเดินทางด้วยกันไม่ไช่เรื่องง่าย

เพราะไหนจะต้องชอบไปในที่ที่เราจะไป มีเวลาที่ตรงกัน มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่คล้ายๆ กัน เพราะไม่อย่างนั้นก็จะตีกันตายเพราะขัดกันตลอด

และไหนจะมีทัศนคติคล้ายๆ กัน เพราะไม่อย่างนั้นจะใช้ชีวิตกินนอนด้วยกันหลายวันอย่างไรถ้าอึดอัด ไม่ชอบขี้หน้า และน่ารำคาญ

เข้าใจแล้วใช่ไหมที่ฉันอาจจะไม่ถนัดที่ต้องเดินทางแบบทัวร์ เพราะเราก็เรื่องไม่น้อยแล้ว ถ้าไปเจอคนอีกร้อยแปด เราน่าจะกัดลิ้นตายตั้งแต่สนามบิน

และอีกปัจจัยที่คนเราจะเดินทางด้วยกันได้อีกก็คือ เงิน

ไม่ต้องโลกสวย กระมิดกระเมี้ยนที่จะพูดถึงเรื่อง “เงิน” เพราะเอาเข้าจริง ถ้าคนเราไม่วางแผน จัดสรร และวางเป้าหมายไว้ เราก็จะไม่มีเงินไว้สำหรับทำสิ่งที่เราชอบและรัก อย่างเช่นการเดินทาง เป็นต้น

เมื่อมีคนที่สามารถร่วมทางไปด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ ก็เลยเดินทางเป็นหมู่คณะอยู่บ่อยครั้ง ก็สนุกสนานเฮฮาตามประสากันไป

แต่อย่างไรเสีย จิตวิญญาณภายในก็โหยหาการเดินทางโดยลำพังอย่างที่เคยทำมา

 

หลายคนมักชอบงุนงงสงสัยและถามเสียงหลงแทบทุกครั้งเมื่อรู้ว่าฉันเดินทางคนเดียว

“ฮ้าาาา เดินทางคนเดียว คนเดียวจริงเลยเหรอ”

“ไปคนเดียวไม่เหงาเหรอ”

“ไปทำไม อยู่อย่างไร เที่ยวสนุกเหรอ”

ถ้าไม่เคยไปคุณจะไม่มีวันเข้าใจ…

 

การเดินทางลำพังไม่เคยเหงาเลยสำหรับตัวฉันนะ เหตุเพราะเรารู้ถึงเป้าหมายในการไปของเรา เรารู้อารมณ์ความรู้สึกของเราว่าเราไปทำไม เราไปอย่างมีจุดหมายปลายทาง

แม้การเดินทางจะไปแบบโนแพลน คือไม่ได้วางเป๊ะๆ ว่าวันนี้จะไปไหนบ้าง แต่มันก็มีการวางคร่าวๆ ในหัวอยู่แล้วว่า เราจะอยากไปที่ไหนบ้าง เพียงแต่เดี๋ยวเราจะไปจัดการเอาหน้างานได้

การเดินทางคนเดียวจึงไม่ใช่เรื่องเปล่าเปลี่ยวหรือเหงาหงอย

เราไม่ได้เดินทางด้วยอาการแบบประชดชีวิต หรืออกหักรักคุด หนีไปให้ไกลๆ ดีกว่า หรือไปไหนก็ได้ เขาจะได้รู้สึกว่าเราหายไป อะไรแบบนั้น

ไม่อย่างนั้นมันจะไม่,uกะจิตกะใจจะก้าวขาไปไหนทั้งสิ้น และรอบตัวก็ไม่มีอะไรสวยงามเลย ออกจะน่าเบื่อ หดหู่ และพานจะร้องไห้ตลอดเวลา

อย่างการเดินทางคนเดียวครั้งนี้ ฉันมีจุดหมายคือ “โตเกียว”

 

ญี่ปุ่นกับฉันคุ้นเคยกันเหลือเกิน และใน 1-2 ปีที่ผ่านมา รู้สึกว่าฉันห่างหายจากโตเกียวไปนาน เพราะมัวแต่ไปเพลิดเพลินกับธรรมชาติในจังหวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น ก็เลยคิดถึงโตเกียวขึ้นมาตงิดๆ

และการไปครั้งนี้มีเป้าหมายจะไปคาเฟ่ต่างๆ ในโตเกียวเพื่อทดลองกินกาแฟของญี่ปุ่น และไปถ่ายรูปคาเฟ่เก๋ๆ น่ารักๆ โดยติดตาม #cafehoppingtokyu ใน ig แล้วก็เซฟร้านที่หมายตาไว้ และดำเนินตามรอยไปเลย

ฉันจองโรงแรมที่ฉันอยากนอน อยู่ในย่านที่อยากอยู่

ตื่นในเวลาที่อยากตื่น ทำอะไร นานแค่ไหนก็ได้เท่าที่เราต้องการ อยากออกกี่โมง อยากไปไหนก่อน อยากเปลี่ยนในระหว่างทางที่ขึ้นรถไฟ หรือแม้แต่ขึ้นรถไฟผิดก็ไม่ต้องรู้สึกผิดหรือเกรงใจใคร

เพราะไม่มีใครตามเรามา ไม่กดดัน

 

เวลาไปคาเฟ่ต่างๆ บางที่ก็ไม่ได้สวยอย่างที่เห็นในรูป หรือก็ไม่ได้มีกาแฟอร่อยอย่างที่คิด ก็ไม่ต้องโดนตัดสินหรือเกรงใจคนในคณะว่าพามาที่ไม่ประทับใจ ไม่มีการต้องทนหน้าหงิกงอ หรือหน้าไม่อินกับสิ่งที่เราชอบ

ที่สำคัญ เราสามารถใช้เวลาแบบที่เราต้องการได้ตามอัธยาศัยโดยที่ไม่ต้องเร่งรีบ

เพราะเวลาไปโตเกียวคือการได้เปิดหูเปิดตา ดูข้าวของเครื่องใช้ ของกิน ขนมแบบแปลกใหม่

ฉันจึงชอบใช้เวลาอย่างที่ตัวเองต้องการ ไม่เร่งรีบ ไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ต้องมีเวลากำหนดค่อยๆ พินิจพิเคราะห์ ซื้อเยอะแค่ไหนก็ได้ แวะร้านไหนก็ได้

เวลาทั้งหมดเป็นของเรา ไม่มีตารางเวลาแบบซีเรียสมากำหนด มากสุดก็เวลาที่จองกินอาหารของบางร้าน นอกนั้นหิวก็กิน สะดวกตอนไหนก็กิน อยู่ย่านไหน ร้านไหนน่ากินก็กิน ไม่หิว ดึกแล้วก็ไม่กิน เช้าตื่นสายก็ไม่กิน

เบรกตารางชีวิตของตัวเองและผู้อื่นที่มาเกี่ยวข้องกับเรา

ให้เราได้เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

ข้อเสียอย่างเดียวคือ เวลากินสั่งได้ไม่กี่อย่าง เพราะมันกินไม่หมด แต่ญี่ปุ่นก็ทำให้เรากินอะไรได้ง่ายๆ แบบที่กินคนเดียวได้เสมอ เช่น ราเมน ข้าวหน้าหมูทอด ซูชิ ที่นั่งกินคนเดียวได้ และแม้แต่ร้านกาแฟ

 

การเดินทางคนเดียวครั้งนี้ จึงเหมือนเป็นการได้ใช้เวลากับตัวเองอย่างแท้จริง ได้เป็นตัวของตัวเอง ได้อยู่กับตัวเอง สื่อสารกับตัวเอง และได้เห็นรายละเอียดต่างๆ รอบตัวชัดเจนขึ้น

การได้เดินทางคนเดียวสลับกับเดินทางกับเพื่อน มันก็ได้รสชาติชีวิตไปอีกแบบ

ลองดูสิคะ…