วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร/ ภายในหุบเหว ยังมีบึง (188)

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร

ภายในหุบเหว ยังมีบึง (188)

 

สถานการณ์ที่ผาไส้ขาดกลายเป็นชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ขึ้นมาด้วยความคึกคัก ไม่เพียงแต่ขบวนของอิดเอ็งไต้ซือ จิวแปะทง เอ็งโกวจะมาตามคำร้องขอของอึ้งย้ง หากอึ้งเอี๊ยะซือเมื่อก็มาพร้อมกับก๊วยเซียง และก็รับทราบว่าเอี้ยก่วยอยู่หุบเหวเบื้องล่าง

การร่วมด้วยช่วยกันเพื่อหนุนเสริมให้เอี้ยก่วยตามไปหาเซียวเล้งนึ่งจึงบังเกิดขึ้นด้วยความคึกคักเพราะมั่นใจว่านางยังมีชีวิตอยู่แน่นอน

เมื่อรับทราบสภาพของเอี้ยก่วยจากปากของก๊วยเซ๊ยงจึงนำไปสู่คำชี้แนะ

“ดูท่าในเวลาอันสั้น ก่วยยี้ไม่มีภัยอันตรายใด พวกเรารีบฟั่นเชือกยาวเส้นหนึ่งรับตัวเขาขึ้นมา” จากอึ้งย้ง

เพียงระยะเวลาอันสั้นก็ฟั่นเป็นเชือกยาวร้อยกว่าวาจากเปลือกไม้อันหยุ่นเหนียว

เส้นเชือกเพิ่มความยาวโดยไม่หยุดยั้ง แต่เอี้ยก่วย ณ ก้นหุบเหวยังไม่มีข่าวคราวใดๆ อึ้งเอี๊ยะซือล้วงขลุ่ยหยกออกมาโคจรพลังเป่า เสียงขลุ่ยสดใสกังวาน ตามเหตุผลเอี้ยก่วยพอได้ยินเสียงขลุ่ยย่อมต้องกู่ร้องตอบรับ

แต่อึ้งเอี๊ยะซือเป่าบรรเลงจนจบเพลง เพียงเห็นก้นหุบเหวมีควันขาวลอยกรุ่น ที่เบื้องล่างเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง

ยังไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ จากเอี้ยก่วย

 

กล่าวสำหรับเอี้ยก่วย สำรวจดูสภาพริมบึงในหุบเหวเห็นบนต้นไม้ใหญ่ทำรังผึ้งอยู่หลายสิบรัง มีขนาดใหญ่กว่ารังธรรมดาทั่วไป ผึ้งที่บินคลอเคล้าก็ล้วนแต่เป็นผึ้งหยกซึ่งเป็นพันธุ์พิสดารอันเซียวเล้งนึ่งเพาะเลี้ยงในสุสานโบราณ

การพบเห็นครั้งนี้อดอุทานดังอามิได้ 2 เท้าถูกตอกตรึงกับพื้นไม่อาจขยับเคลื่อนไหว ค่อยเดินถึงข้างรังเห็นพอกดินโคลนแสดงว่าเป็นแรงงานมนุษย์

คลับคล้ายเป็นฝีมือเซียวเล้งนึ่ง

ดังนั้น เดินอ้อมบึงสำรวจตรวจตราเห็นทั้ง 4 ด้านเป็นผนังผาลาดชัน ลักษณะคล้ายก้นบ่อขนาดใหญ่ จึงหักต้นไม้เคาะตามผนังผาค่อยพบว่าเปลือกไม้หลายต้นถูกล่อนลอกออก

ก้อนหินข้างดอกไม้ใบหญ้า จัดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย

พริบตานั้นมันบัดเดี๋ยวยินดี บัดเดี๋ยวกังวล หัวใจเต้นระทึกตูมตาม คำนวณแน่ว่าเซียวเล้งนึ่งต้องพักอาศัยอยู่ ณ ที่นี้ เพียงแต่ผ่านเวลายาวนาน 16 ปี จะปลอดภัยดีหรือไม่ มีผู้ใดสามารถระบุได้ มันไม่เชื่อเรื่องผีสางเทพยดา แต่ยามร้อนรุ่มใจต้องคุกเข่าลงพึมพำ

“สวรรค์เอย สวรรค์ ท่านต้องปกป้องคุ้มครองให้ข้าพเจ้าได้พบเล้งยี้อีกครั้ง”

 

พลันตัดสินใจกระโดดลงในบึงดำดิ่งลงสู่ส่วนลึก ยิ่งดำลึกยิ่งเหน็บหนาว รอบข้างเป็นสีดำล้วนเป็นน้ำแข็งเย็น มันแม้ไม่กลัวความหนาวแต่ส่วนลึกของบึงมีแรงดันกล้าแข็งเมื่อโถมทะลวงหลายคราเพียงดำไปอีกไม่กี่วาก็ไม่สามารถบรรลุถึงเบื้องล่าง

ดังนั้น กลับขึ้นไปอีก ยื่นมือเข้าโอบหินก้อนใหญ่แล้วกระโดดลงบึงอีกครั้ง

ครานี้มันจมดิ่งลงไป รู้สึกกระจ่างจ้า รีบแหวกว่ายเข้าไปหาแสงสว่าง พบกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากพัดเอาร่างของมันไป

ที่เห็นแสงสว่างนั้นเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง เป็นถ้ำน้ำแข็งพาดเฉียงขึ้นไป

เมื่อโผล่พ้นผิวน้ำก็เห็นแสงอาทิตย์เจิดจ้า กลิ่นบุปผากระทบจมูก กลับเป็นทิพยสถานอีกแห่งหนึ่ง มันมิได้ปีนป่ายขึ้นไปในบัดดล สอดส่ายสายตาก็เห็นบุปผาสะพรั่ง หญ้าเขียวขจีสดใส คล้ายเป็นอุทยานดอกไม้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

เพียงแต่ไม้ดอกไม่สั่นไหว หุบเขาลี้ลับไร้ผู้คน

เห็นที่ห่างไป 10 กว่าวาเป็นกระท่อมมุงจากอยู่หลายหลัง เพียงเกร็งลมปราณวิ่งปราดไปได้ 3-4 วาก็หยุดเท้าลง

เดินเข้าหาทีละก้าว ทีละก้าว ยิ่งเดินเข้าใกล้ฝีเท้ายิ่งเชื่องช้า

 

นี่ย่อมเป็นฉากอันตื่นเต้นตระการตาเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดเอี้ยก่วยก็เดินมาถึงหน้าทับกระท่อมห่าง 1 วาเศษก็เงี่ยหูสดับฟัง

รอบข้างเงียบสงัด

ไม่ปรากฏสุ้มเสียงของผู้คน ไม่ปรากฏเสียงร้องของคณานก มีแต่เสียงผึ้งหยกบินดังอึงอลมาเบาแผ่ว

มันรอคอยอยู่ครู่

ค่อยปลุกปลอบขวัญกำลังใจกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นสะท้านขึ้น “ผู้แซ่เอี้ยมาเยือนอย่างอุกอาจ โปรดอนุญาตให้เข้าพบ”

กล่าวย้ำไป 2 เที่ยว ภายในหามีเสียงตอบไม่

จึงยื่นมือผลักประตูไม้เบาๆ ประตูก็เปิดออกดังแอ๊ด เมื่อสาวเท้าเข้าไป 2 ตาที่กวาดมองอดสะท้านทั้งร่างมิได้

มันพบเห็นอันใด