สรุปข่าวต่างประเทศ : WHO เตือน! สมาร์ตโฟนทำหูพัง / นัยยะ ‘ฮุน เซน’โพสต์ / ท่าที ‘ทรัมป์’ ต่อสงครามการค้า

/ AFP PHOTO / TANG CHHIN SOTHY

กัมพูชา

พนมเปญ – สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กของตนเองเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ระบุเตือนว่า กัมพูชาไม่สามารถแลกเอกราชและอำนาจอธิปไตยเพื่อสิ่งใดได้ และว่า กัมพูชาต้องการเป็นมิตรที่ดีกับประเทศหุ้นส่วนอื่นๆ ที่ต้องการเห็นกัมพูชามีความก้าวหน้าโดยปราศจากการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ ข้อความดังกล่าวนับเป็นท่าทีแรกของสมเด็จฯ ฮุน เซน ที่มีขึ้นหลังจากสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศในวันก่อนหน้าว่าจะเริ่มกระบวนการตรวจสอบเพื่อตัดสินใจว่าจะระงับการให้สิทธิพิเศษทางการค้า ซึ่งเป็นการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าและยกเลิกการกำหนดโควต้านำเข้าของอียูที่ให้กับสินค้าที่มีแหล่งผลิตจากกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (แอลดีซี) ซึ่งครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ยกเว้นอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือ “บีอีเอ” ต่อกัมพูชาหรือไม่

โดยการพิจารณาเรื่องนี้ของอียูมีขึ้นในการตอบโต้กัมพูชาต่อประเด็นปัญหาทางการเมืองในประเทศหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชาครั้งที่ผ่านมา อียูระบุว่าไม่มีความโปร่งใสและเป็นธรรม เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านของกัมพูชาไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย มาตรการตอบโต้นี้จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้าของกัมพูชาที่เป็นประเทศผู้ส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้ารายใหญ่อันดับ 6 มายังอียู มีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากอียูใช้มาตรการนี้ตอบโต้กัมพูชาจะกระทบต่อแรงงานชาวกัมพูชาในภาคอุตสาหกรรมนี้มากกว่า 700,000 คน

สหรัฐอเมริกา

วอชิงตัน – สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ออกมาเปิดเผยท่าทีที่สหรัฐอาจจะพิจารณาขยายเส้นตายการเจรจาทำความตกลงทางการค้ากับจีนออกไปจากเดิมที่กำหนดเป็นในวันที่ 1 มีนาคมนี้ หากเห็นว่าสหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าที่แท้จริงระหว่างกันได้ ท่าทีของทรัมป์มีขึ้นในขณะที่การเจรจาทางการค้าระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐและจีนรอบที่ 3 กำลังมีขึ้นที่กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนมายังสหรัฐที่มีมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าของ 2 ชาติมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกแห่งนี้ที่มีเดิมพันสูงได้สร้างความห่วงวิตกไปทั่วโลกว่าจะเป็นการฉุดเศรษฐกิจโลกให้ย่ำแย่ลงหลังจากในช่วงกลางปีที่ผ่านมารัฐบาลทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษีสูงถึง 25 เปอร์เซ็นต์ต่อสินค้านำเข้าจากจีนมีมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากนั้นยังตั้งกำแพงภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ต่อสินค้านำเข้าจากจีนอื่นๆ อีกหลายรายการมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นการตอบโต้จีนที่รัฐบาลทรัมป์ประณามว่าทำการค้าอย่างไม่เป็นธรรมจนทำให้สหรัฐต้องเสียเปรียบดุลการค้าจีนมูลค่ามหาศาล และหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเจรจาทำความตกลงกันได้ สหรัฐจะปรับเพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ในวันที่ 1 มีนาคมนี้

สวิตเซอร์แลนด์

เจนีวา – รายงานข่าวเอเอฟพีแจ้งว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ องค์การอนามัยโลก (ฮู) ออกมาเตือนกลุ่มคนหนุ่มสาวทั่วโลก อายุระหว่าง 12-35 ปี ที่มีจำนวนราว 1,100 ล้านคนว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้ระบบการได้ยินของตนเองเสียหายและสูญเสียการได้ยินไปจากการใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนและอุปกรณ์เสียงต่างๆ ที่มีระดับเสียงดังมากเกินไป ฮูระบุว่าปัจจุบันราว 5 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก หรือประมาณ 466 ล้านคน รวมถึงเด็กจำนวน 34 ล้านคน ที่เป็นผู้พิการทางการได้ยิน แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้สูญเสียการได้ยินเหล่านี้มีจำนวนมากเท่าใดที่เป็นผลมาจากการใช้อุปกรณ์เสียง โดยฮูยังทำงานร่วมกับสหภาพโทรคมนาคมนานาชาติ (ไอทียู) ในการกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับระดับเสียงที่มีความปลอดภัยต่อการผลิตและการใช้อุปกรณ์เสียงต่างๆ ซึ่งกำหนดให้มีการติดตั้งซอฟต์แวร์กำหนดระดับเสียงในอุปกรณ์เสียงทุกชนิด ให้มีการติดตามระดับเสียงและระยะเวลาในการฟังของผู้ใช้ และประเมินความเสี่ยงอันตรายของการได้ยินของผู้ใช้อุปกรณ์เสียงต่างๆ นอกจากนี้ ฮูยังได้เรียกร้องให้พ่อแม่ผู้ปกครองคอยเฝ้าระวังบุตรหลานในการใช้อุปกรณ์เสียงเหล่านี้ ตลอดจนให้มีระบบการควบคุมระดับเสียงโดยอัตโนมัติในอุปกรณ์เสียงเพื่อป้องกันการใช้ที่เสี่ยงอันตรายด้วย

ทั้งนี้ ฮูชี้ว่าการฟังเสียงในระดับความดังที่มากกว่า 85 เดซิเบลขึ้นไปเป็นเวลานาน 8 ชั่วโมง หรือ 100 เดซิเบลขึ้นไปเป็นเวลา 15 นาทีนั้น ถือว่าไม่ปลอดภัย