ฐากูร บุนปาน : เสียงชาวบ้าน หรือ เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายทั้งหลายทั้งปวง ที่ชี้นำสังคมไทย

ที่เห็นอยู่ลิบๆ แล้วนึกว่าเป็นขุมทรัพย์ที่ปลายสายรุ้ง

เดินเข้าไปใกล้ๆ กลายเป็นขุมนรก เคยมีตัวอย่างให้เห็นในอดีตมาหลายที่หลายหนแล้ว

หวังว่าการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึงในเวลาอันไม่ช้าของสังคมไทย

จะไม่พลอยกลายเป็นอย่างนั้นไปด้วย

อะไรถึงทำให้การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความฝันความหวังของคนจำนวนไม่น้อย

จะกลายเป็นฝันร้าย กลายเป็นสิ้นหวังมากกว่าสมหวังขึ้นมาได้

คำตอบก็คือ การเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ยุติธรรม ไม่โปร่งใส

และตัดโอกาสไม่ให้คนส่วนใหญ่ของประเทศเข้ามามีส่วนร่วม

การเลือกตั้งของไทยก็อยู่ตรงปากเหวที่ว่านั้น

เริ่มกันตั้งแต่กติกา อย่างรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบที่ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาก่อนเลย

ไม่ว่าจะนับคะแนนสองหนสามหนด้วยบัตรใบเดียว หรือการที่ให้เบอร์ผู้สมัครจากพรรคเดียวกัน แตกต่างกันออกไปทั้ง 350 เขต

ไปจนกระทั่งถึงการเขียนกฎหมายให้กำกวมเข้าไว้ เช่น กรอบ 150 วันหมายถึงอะไร

ขนาดคนร่างกฎหมายยังไม่ยอมตอบให้ชัด

ร่างแล้วก็ร่างเลย ใครเอาไปใช้แล้วมีปัญหาก็เป็นเรื่องของคนนั้น

ไม่ใช่ปัญหาของตู

มาถึงระเบียบกติกาหยุมหยิมของ กกต. ที่มีผู้เปรียบเปรยเอาไว้ว่า

นี่แหละเจ้าขุนมูลนายยุคใหม่ของแท้

คือกับชนชั้นล่างกว่า จะกดหัวข่มเหงอย่างไรก็ทำตามใจ

หาเสียงในโซเชียลมีเดียก็ไม่ได้ (ปากบอกว่าได้ แต่กติกาที่ร่างไว้เป็นอีกอย่าง)

กะอีป้ายหาเสียงก็ต้องมาบอกว่าติดตรงไหนได้ ขนาดเท่าไหร่

หรือในนามของความเสมอหน้าเท่าเทียมกัน คราวนี้จะจัดสัมมนา-เสวนาอะไรในเรื่องการเลือกตั้งต้องคิดให้ดี เพราะถ้าไม่เชิญ 104 พรรคมาขึ้นเวทีพร้อมกัน มีคนร้องเรียนขึ้นมา

คราวนี้จะยุ่งตายห่-

เพราะฉะนั้น อย่าจัด อย่าให้ใคร-พรรคไหนมาแสดงความคิดเห็นอะไรกันเลย

เลือกตั้งกันแบบเงียบๆ เหมือนอยู่ในป่าช้า แบบเดียวกับที่เลือก ส.ว. มาหมาดๆ จะปลอดภัยกว่า

แต่พอกับเจ้าขุนมูลนายชั้นใหญ่กว่า ท่านกลับเงียบเป็นเป่าสาก

การใช้อำนาจเป็นธรรมหรือไม่ก็ไม่ต้องตรวจสอบ

เต๊ยเงินกันโครมๆ คนรู้สึกกันทั้งสังคมไทยว่าไม่ชอบมาพากล

ท่านก็ไม่รู้สึก

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ไม่ได้หมายความว่า กกต.ชั่วร้ายเลวทรามอะไรเลย

เชื่อด้วยซ้ำไปว่าท่านทำลงไปด้วยเจตนาดี

อยากให้การเลือกตั้งเท่าเทียมกันจริงๆ อยากให้สังคมสงบเรียบร้อยจริงๆ

แต่เผอิญทั้งหมดนี้เป็นความปรารถนาดีที่ไร้เดียงสา บวกเข้ากับทัศนคติที่เห็นคนไม่เท่ากัน ชาวบ้านรู้น้อยกว่าท่าน นักการเมืองก็ชั่วร้ายกว่าท่าน

เพราะฉะนั้น ต้องควบคุมทุกอย่างเอาไว้ทุกฝีก้าว

การเลือกตั้งที่ควรจะเป็นของง่ายก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าเดิม

การเลือกตั้งที่เป็นเครื่องสะท้อนว่าสังคมนี้มีความแตกต่างหลากหลาย (ตามธรรมชาติของสังคมประชาธิปไตย หรือเอาให้ยิ่งไปกว่านั้นก็คือตามธรรมชาติของสังคมมนุษย์) กลับจะต้องมาเข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง ให้คุณครูตรวจเล็บ ตรวจผม ตัดคะแนนความประพฤติจากเรื่องหยุมหยิม

แทนที่จะไปเพ่งเล็งเรื่องความสามารถ หรือความประพฤติอื่นๆ ที่ร้ายแรงและเป็นอันตรายกว่า

น่ากลุ้มใจแทนนะครับ

แต่ก็อีกนั่นแหละ

ขุมทรัพย์หรือขุมนรกที่ปลายสายรุ้งนั้น ไม่ใช่เรื่องซึ่งเทพเจ้าที่ไหนดลบันดาลมา

แต่เกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ด้วยกันเองนี่แหละ

ให้ออกระเบียบกติกาบ้าเลือดขนาดไหน ถ้าชาวบ้านแห่กันไปออกเสียงอย่างถล่มทลาย

แสดงฉันทามติไปในทิศไหนทางหนึ่ง

ระเบียบกติกาห่วยๆ ทั้งหลายก็ไร้ความหมาย

จะพยายามปิดหู ปิดตา ปิดปากกันแค่ไหน

ในโลกยุคใหม่ที่อุดมไปด้วยช่องทางการสื่อสารใหม่ๆ ซึ่งไดโนเสาร์ไม่เคยเข้าใจ (แต่พยายามทำท่าเหมือนจะเข้าใจ)

ให้ปิดอย่างไรก็ปิดไม่อยู่ ไม่ทั่ว ปิดไม่มิด

จริงหรือไม่ จากนี้ถึง 24 มีนาคม จะเป็นเครื่องพิสูจน์และชี้ขาด

ว่าเสียงชาวบ้าน กับเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายทั้งหลายทั้งปวง

อะไรกันแน่ที่ชี้นำสังคมไทย