ภาพยนตร์ นพมาส แววหงส์ /ROBIN HOOD ‘การเมืองเรื่องโรบินฮู้ด’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์ นพมาส แววหงส์

ROBIN HOOD

‘การเมืองเรื่องโรบินฮู้ด’

 

กำกับการแสดง Otto Bathurst

นำแสดง Taron Egerton Jamie Foxx Eve Hewson Ben Mendelsohn Jim Minchin Jamie Dornan F, Murray Abraham

 

หนังตัวอย่างที่ออกฉายมาพักใหญ่แล้วสัญญาจะเล่าเรื่องของจอมโจรที่มีชื่อเสียงในยุคกลางคนนี้แบบที่ยังไม่เคยมีใครล่วงรู้มาก่อน

ตำนานที่เล่าขานกันคือโรบินฮู้ดปล้นคนรวยไปช่วยคนจน และใช้ชีวิตของคนนอกกฎหมายในพงไพร

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เราคุ้นเคยกับชื่อของโรบินฮู้ด ลิตเติลจอห์น บาทหลวงทัก แมเรียน นายอำเภอแห่งน็อตติ้งแฮม และป่าเชอร์วู้ด ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมประชุมพลของจอมโจรพระเอก ซึ่งมีการเฝ้าระวังเวรยามบนต้นไม้ เพื่อเป่าใบไม้เตือนพวกพ้องล่วงหน้าก่อนจะมีใครบุกเข้าไปถึงตัว

อย่างน้อยที่สุดสมัยเด็กผู้เขียนก็เคยดูหนังชุดทางโทรทัศน์เรื่องโรบินฮู้ดนี้เป็นประจำ

จากนั้น ก็ได้ดูหนังใหญ่อีกหลายเวอร์ชั่น รวมทั้งโรบินฮู้ดที่เควิน คอสต์เนอร์ เล่น ซึ่งเป็นโรบินฮู้ดที่หล่อที่สุดเท่าที่จำได้

 

ชื่อโรบินฮู้ดนี้เป็นที่สับสนมาตลอดว่าสะกดแยกเป็นสองคำ หรือรวมเป็นคำเดียว ซึ่งก็เห็นใช้กันอยู่ทั้งสองแบบ ผู้เขียนไปพบจอมโจรโรบินคนนี้อีกครั้งในตอนแปลอมตะนิยายชุด “อาร์เธอร์ ราชันแห่งนิรันดร์กาล” (The Once and Future King) ของ ที.เอช.ไวต์ ซึ่งเป็นต้นตอของหนังมิวสิเคิลในดวงใจเรื่อง Camelot

ในภาคแรกที่ชื่อว่า “ดาบในศิลา” อาร์เธอร์ใช้ชีวิตสมัยเด็กร่ำเรียนกับผู้วิเศษเมอร์ลิน และผจญภัยอยู่ในป่าจนไปเจอเข้ากับลิตเติลจอห์น ซึ่งพาเขาไปหา “โรบิน อู๊ด”

จริงๆ นะคะ ไม่ได้พิมพ์ผิดหรอก ลิตเติลจอห์นเรียกชื่อนี้ว่า “โรบิน อู๊ด” และบอกว่า “โรบิน ฮู้ด” เป็นชื่อที่คนมีการศึกษาเรียกกัน (คงเหมือนอย่างที่สำเนียงค็อกนีย์ไม่ออกเสียงตัวพยัญชนะ h แต่อ่านด้วยเสียงสระเฉยๆ)

แต่ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ แล้ว ต้องเรียกเขาว่า “โรบิน วู้ด” มากกว่า เพราะเขาอยู่ในป่า (wood)

 

มาถึงหนังเรื่องปัจจุบัน เขียนชื่อนี้แยกกันให้โรบินมีนามสกุลว่า “ฮู้ด” ซึ่งแปลว่าผ้าคลุมศีรษะ โดยได้มาจากการที่โรบินแห่งลอกซ์ลีย์ปลอมตัวออกปล้นโดยคลุมหัวให้มิดชิดเพื่อไม่ให้คนเห็นใบหน้าและจำได้

เรื่องเริ่มที่โรบินแห่งลอกซ์ลีย์ (ทารอน เอเกอร์ตัน) เป็นผู้ดีเจ้าของปราสาทและที่ดิน และเขากำลังถูกปล้นโดยโจรคลุมหน้าซึ่งเขาจับตัวได้และปรากฏว่าเป็นสาวสวยชื่อแมเรียน (อีฟ ฮิวสัน) ที่ลอบเข้ามาขโมยม้าในคอกของปราสาทเพื่อไปช่วยคนขาดแคลนที่มีความต้องการม้ามากกว่าเจ้าของปราสาทที่มีอยู่มากเกินพอ

ไม่ช้าไม่นานโรบินแห่งลอกซ์ลีย์ก็แต่งงานกับสาวงามแมเรียน และครองคู่กันอย่างแสนสุขเยี่ยงข้าวใหม่ปลามัน แต่ก็เพียงไม่นานก่อนที่ชีวิตทั้งชีวิตของเขาจะพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า

เหมือนสายฟ้าฟาดลงในเวลากลางวันแสกๆ โรบินโดนหมายเรียกตัวจากนายอำเภอแห่งน็อตติ้งแฮมให้ไปร่วมรบในสงครามศาสนาในดินแดนตะวันออกกลาง

ฝ่ายศัตรูคือพวกแขกมัวร์ และหนึ่งในนั้นคือคนที่จะกลายมาเป็นสหายคู่ใจที่เรารู้จักกันในชื่อ “ลิตเติลจอห์น” (เจมี ฟอกซ์) เนื่องจากชื่อภาษาอาหรับของเขาเรียกยากจนโรบินฟังแล้วต้องทำตาปริบๆ เพราะไม่สามารถออกเสียงได้

โชคชะตาพลิกผันอย่างเหลือเชื่อให้ศัตรูกลับกลายมาเป็นมิตร

 

โรบินกลับอังกฤษเพื่อจะพบว่าคฤหาสน์ใหญ่โตของเขาเหลือเพียงซากปรักหักพัง และภรรยาสุดที่รักกลายอื่นไปเสียแล้ว

คนที่เคยเป็นคู่อริตัวเอ้เปลี่ยนเข็มมาเป็นจักรกลตัวสำคัญที่ผลักดันให้โรบินลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้คืนมาทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ โดยต่อสู้กับอำนาจเยี่ยงทรราชที่กดขี่และมีแผนสำหรับสงครามอันไม่รู้จบสิ้น

การเมืองแบบยุคสมัยปัจจุบันเป็นจักรกลขับเคลื่อนสงคราม นั่นคือการทำสงครามเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยส่งท่อลำเลียงให้การสนับสนุนคู่สงครามเพื่อให้การสู้รบยังดำเนินต่อไปได้ไม่จบสิ้น

จากแง่มุมของหนังเรื่องนี้ สงครามครูเสดไม่ใช่สงครามศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ที่สู้รบกันด้วยอุดมการณ์อันขัดแย้งกัน แต่เป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง

 

อย่างที่จั่วหัวเรื่องไว้ นี่คือโรบินฮู้ดภาคพิสดารของการเมืองเบื้องหลังอำนาจ ซึ่งสร้างวีรบุรุษในตำนานขึ้น

ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่หนังซึ่งเกิดจากจินตนาการอันกว้างไกลของศิลปินผู้สร้างจะทำไม่ได้…ขอแค่ต้องทำให้ดี

หนังเรื่องนี้ยังมีช่องโหว่และจุดอ่อนที่ไม่ลงตัวในหลายจุดหลายด้านเกินกว่าจะยอมรับว่าเป็นหนังดี

ประการสำคัญคือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ซึ่งยังสัมผัสได้เพียงลางๆ แค่พื้นผิว โดยไม่ลงลึกมากไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างโรบินกับลิตเติลจอห์น โรบินกับแมเรียน โรบินกับบาทหลวงทัก หรือแมเรียนกับสามีใหม่ และเหตุผลสำหรับความเป็นอริของโรบินกับนายอำเภอแห่งน็อตติ้งแฮมคนต่อไป ซึ่งตอนจบเปิดทิ้งไว้สำหรับการผจญภัยของโรบินฮู้ดในภาคต่อๆ ไป (ถ้ามี)

หนังให้ความรู้สึกของหนังบู๊แบบจีน ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเป็นโปรดักชั่นที่มีบริษัทหนังของฮ่องกงให้การสนับสนุน

ฉากแอ๊กชั่นของสงครามครูเสดให้ความรู้สึกเหมือนการสู้รบในสงครามสมัยใหม่ แม้ว่าพระเอกจะถือธนูหรือหน้าไม้เดินอาดไปทั่วสนามรบ นี่เป็นความไม่สอดคล้องที่ไม่ชวนให้คล้อยตามอย่างยิ่ง เวลาเราดูหนัง แม้จะเป็นเรื่องราวในจินตนาการ แต่เราก็ต้องเก็บความไม่เชื่อเอาไว้ต่างหากชั่วคราว แบบที่เรียกว่าต้องมี suspension of disbelief ในระหว่างการชม

แต่ขอสารภาพว่าผู้เขียนพยายามเอาความไม่เชื่อ “แขวน” ไว้ต่างหาก แต่ก็ทำได้อย่างยากเย็น เพราะต้องมีเรื่องแปร่งๆ ที่ไม่สอดคล้องกันคอยผลักไม่ให้คล้อยตามไปอยู่เรื่อย

 

ผู้เขียนแทบไม่รู้จักผู้กำกับฯ คนนี้และไม่เคยดูหนังของเขามาก่อน แต่เท่าที่เห็นคือเขายังไม่สามารถดึงความสามารถออกมาจากตัวนักแสดงซึ่งถือเป็นดาราแนวหน้าหลายคนได้

เจมี ฟอกซ์ ซึ่งแม้จะเริ่มโด่งดังด้วยการเล่นหนังชุดคอเมดีมาก่อน แต่ก็หันมาขยายขอบเขตของตัวเองไปสู่บทดราม่าและบทบู๊ซึ่งเขาได้พิสูจน์ฝีมือมาแล้ว

แต่เขามีบทบาทอึมครึมมากในเรื่องนี้ และอีกคนที่ดูเหมือนเป็นจักรกลสำคัญอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด คือ เอฟ. เมอร์เรย์ เอบราห์ม ก็มีบทบาทน้อยมาก

และหนังยังเสนอเหตุผลเบื้องหลังในการกระทำของตัวละครสำคัญมากในเรื่อง คือแมเรียน อย่างผ่านๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจแต่งงานใหม่ หรือการตัดสินใจหวนกลับมาสู่สามีเก่า โดยสรุปเอาคลุมๆ ว่า เป็นพระเอกนางเอกแล้วสามารถทำเรื่องผิดศีลธรรมได้โดยไม่มีใครว่าอะไรกัน

สรุปว่า ผู้เขียนไม่นึกอยากติดตามชมภาคต่อไปของหนังเรื่องนี้เลยค่ะ ถ้ามี…และดูท่าว่าจะมีเสียด้วย…