จับกระแส “อาฟเตอร์ช็อก” หลัง ‘บิ๊กแดง’ คำรามปฏิวัติ-ท่าที ผบ.เหล่าทัพ กลางการเมืองร้อน เปิด 3ไอดอลของ ผบ.ทบ.

รายงานพิเศษ

อาฟเตอร์ช็อก

หลัง ‘บิ๊กแดง’ คำรามปฏิวัติ

จับท่าที 5 ผบ.เหล่าทัพ

กลางการเมืองร้อน

เปิด 3 ไอดอลของ ผบ.ทบ.

“บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ยังคงแสดงออกถึงการเป็น “บิ๊กแดง” คนเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน ทั้งสไตล์ แนวคิด และจุดยืน

ต่อให้แม้วันนี้จะเป็น ผบ.ทบ. และเป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) แล้วก็ตาม

จึงทำให้การไม่รับประกันว่าจะไม่เกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคตของเขา จึงสร้างความฮือฮา จนทำให้ฝ่ายต่อต้าน คสช. คนเสื้อแดง และนักการเมืองฝ่ายระบอบทักษิณ วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

โดยเฉพาะเมื่อยังใช้คำพูดที่สะท้อนทัศนคติเดิมๆ ต่อคนเสื้อแดง และนักการเมือง ที่ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ ตั้งแต่เหตุการณ์ปี 2552 และ 2553 ที่เขาต้องตกอยู่ในวงล้อมคนเสื้อแดง ที่สถานีดาวเทียมไทยคม จนเกือบจะปะทะและเกิดการสูญเสีย

“ผมมั่นใจว่า ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุของการจลาจล ถ้ามันไม่เกิด มันก็ไม่มีอะไร

การปฏิวัติรัฐประหารที่มีมากกว่าสิบครั้งก็จริง แต่มันไม่ใช่เหมือนสมัยก่อนแล้ว สมัยหลังๆ นี่ มันก็เรื่องการเมืองทั้งสิ้น” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว เมื่อถูกถามถึงความมั่นใจว่าจะไม่เกิดปฏิวัติขึ้นอีก

ก่อนที่จะขุดอดีตขึ้นมาตอกย้ำอีกว่า “ผมคาดหวังอย่างยิ่งว่า หวังใจอย่างยิ่ง เหตุการณ์รุนแรงในบ้านเรานี้คงไม่มีใครอยากเห็นบ้านเมืองเป็นแบบนี้อีก คนโน้นก็เผา คนนี้ก็เผา ตรงนั้นก็ยิง ตรงนี้ก็ยิง มันเหมือนในหนัง เหมือนในบางประเทศ สมัยก่อนเราไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาขนาดนี้ เพราะอะไร เพราะยังคงมีการแย่งชิงทางการเมืองการเอาชนะกัน รู้จักแพ้ ไม่รู้จักชนะ แต่คนที่แพ้ก็คือประเทศชาติ…” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

โดยเฉพาะตำหนิว่า “ประชาชนที่ออกมาสร้างความเดือดร้อน ที่มีการยุให้จุดไฟเผา พูดเรื่องการทำระเบิดอะไรก็ตาม นั่นคือ ท่านแพ้ ท่านเป็นประชาชนที่ทำให้ประเทศแพ้”

อันเป็นการสะท้อนว่า พล.อ.อภิรัชต์ยังคงมีจุดยืนดังเดิม และในขณะเดียวกัน คนเสื้อแดงก็ยังคงมีความรู้สึกไม่ดีต่อเขาเช่นเดิม

(จากซ้าย) พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์, พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญจศรี, พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ

คําพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ ถูกวิจารณ์ว่า ทำให้เสียบรรยากาศของการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในต้นปีหน้า และทำให้สังคมเกิดความวิตกกังวล

จนทำให้บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด  ต้องออกมาสยบความหวาดวิตกด้วยการเรียกร้องให้สังคมและสื่ออย่าพยากรณ์เหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น และไม่มีทีท่าว่าจะเกิด และไม่มีนัยสำคัญใดที่ทำให้เห็นว่าจะเกิดการจลาจล หรือทหารจะต้องออกมาทำอะไร เพราะจะทำสังคมเกิดความวิตกกังวล

ที่อาจทำให้ดูประหนึ่งว่า พล.อ.พรพิพัฒน์มีท่าทีสวนทางกับ พล.อ.อภิรัชต์ แต่แค่ต้องการสยบกระแสความหวั่นวิตก หรือหวาดกลัวเรื่องปฏิวัติ และทำให้กองทัพถูกโจมตีเท่านั้น

เพราะท้ายที่สุดแล้ว พล.อ.พรพิพัฒน์ก็ยอมรับว่า “การปฏิวัติรัฐประหาร เป็นแผนเชิญเหตุขั้นสุดท้ายเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่า เมื่อเกิดการจลาจลแล้ว จะเกิดการรัฐประหาร เพราะอาจแก้ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การรัฐประหาร”

แต่หากไล่ดูท่าทีและจุดยืนของ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่นี้แล้ว ส่อเค้าว่า หากเกิดสถานการณ์คับขัน ก็ดูว่าทุกคนพร้อมที่จะเสียสละ

“ไม่มีใครอยากทำหรอก รัฐประหาร ถ้ามันไม่เกิดอะไรขึ้นมาแล้วหาทางอื่นแก้ไขไม่ได้” บิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม เห็นพ้องกับ พล.อ.อภิรัชต์ เพื่อนรัก ตท.20

เช่นเดียวกับบิ๊กต่าย พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ. รุ่นพี่ ตท.18 ที่ระบุว่า ถ้าทุกคนทำตามกรอบกติกา มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากให้ปฏิวัติ

พร้อมพูดชัดว่า ทุกคนอยากเลือกตั้ง อยากได้รัฐบาลที่ดี มีความสงบ ประเทศจะได้เดินหน้าเสียที

แต่ที่ถูกจับตามองคือ การที่ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ออกตัวเรื่อง “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่มีการสร้างสถานการณ์เพื่อเปิดทางให้ทหารปฏิวัติ ว่า “ลึกเกินไป อันนี้ผมไม่เกี่ยวข้อง และไม่รู้ในรายละเอียดว่าใครทำ พวกผมไม่รู้หรอกครับ มันลึกเกินไป”

ขณะที่บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในเรื่องรัฐประหาร แต่ด้วยความเป็นนายทหารที่ห้าวหาญพูดตรง ทำให้เดาแนวทางได้ไม่ยาก

อีกทั้ง พล.ร.อ.ลือชัยเตือนว่า คนไทยเราในยามมีศึกสงคราม เรารบเก่ง แต่ถ้าสงบก็จะแตกแยกกัน ผมไม่อยากให้เราแตกแยกเป็นก๊ก เป็นเหล่ากันเกิดขึ้นอีก เพราะอย่าคิดว่าไม่มีศึกเสือเหนือใต้แล้ว แต่การชิงชาติบ้านเมืองยังคงมีอยู่ แต่เปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น

 

แต่ที่น่าจับตามองคือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกมารับลูก พล.อ.อภิรัชต์ ด้วยว่า “ไม่มีใครอยากทำปฏิวัติรัฐประหาร”

แต่ไม่ได้ตำหนิการที่ พล.อ.อภิรัชต์ น้องรักที่แสดงความเห็น จนทำให้เกิดกระแสความหวาดหวั่น แต่กลับตำหนิสื่อแทนว่า พูดไปเรื่อยเปื่อย

แต่ก็ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์งดเว้นที่จะพูดเรื่องการเมือง เรื่องการปฏิวัติรัฐประหารต่อ

เพียงแค่มีการชี้ไปที่คำพูดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกฯ ที่ว่า “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ปัญหา คณะปฏิวัติเป็นเพียงปลายเหตุ คนโกงต่างหากคือต้นเหตุ”

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า พล.อ.อภิรัชต์จะตกเป็นเป้าสายตา และการถูกจับต้องของฝ่ายต่อต้าน คสช. และคนเสื้อแดงต่อไปอย่างเข้มข้น หลังจากที่ได้แสดงท่าทีและจุดยืนทางการเมืองออกมา ที่แสดงให้เห็นว่า ยังเป็นบิ๊กแดงคนเดิม

ขณะเดียวกัน พล.อ.อภิรัชต์ได้แสดงให้เห็นว่า เขามีไอดอลที่ยึดเป็นแบบอย่างในการรับราชการทหารอยู่ 3 คน

คนแรกคือ บิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ บิดาผู้ล่วงลับ ที่เป็นอดีตประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534

เพราะ พล.อ.สุนทร คือคนที่ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ยอมมาเป็นทหาร ยอมมาสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร และเรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. แล้วจบมาเป็นนักบิน ทบ. บินเฮลิคอปเตอร์ แบบบิดา

ก่อนที่จะเปลี่ยนย้ายเหล่า จากนักบินมาเป็นเหล่าทหารราบ ที่เป็นเหล่ากำลังรบหลัก ที่จะสามารถเป็น ผบ.ทบ. ได้

จึงไม่แปลกที่เมื่อมีโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ผบ.ทบ. พล.อ.อภิรัชต์จะไหว้บิดา เพื่อบอกกล่าวถึงความสำเร็จที่มีพ่ออยู่เบื้องหลัง และพูดให้คนใกล้ชิดได้ยินอยู่เสมอว่า “คิดถึงพ่อ”

นั่นจึงทำให้วันที่ไปประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพครั้งแรกที่ บก.กองทัพไทย พล.อ.อภิรัชต์จะเดินไปที่ป้ายชื่อของ พล.อ.สุนทร บนทำเนียบนามอดีต ผบ.ทหารสูงสุด คนที่ 13 พร้อมกราบและเอามือลูบชื่อด้วยน้ำตาคลอเบ้า และไปดูภาพสีน้ำมันในห้องเกียรติอีกด้วย

จนถูกจับตามองว่า ในอนาคต พล.อ.อภิรัชต์จะได้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติแบบพ่อหรือไม่ แม้ว่าการรัฐประหารจะไม่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อสู่ลูกได้

แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ได้รับการปลูกฝังในเรื่องความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองมาจาก พล.อ.สุนทร มาตลอด ตั้งแต่เป็นนักเรียนทหาร

อีกทั้ง พล.อ.อภิรัชต์ระบุด้วยว่า ตนเองได้เรียนรู้ประสบการณ์ทางการทหารและการเมืองมาตั้งแต่ยุค พล.อ.สุนทรเรื่อยมา และผ่านเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองมาหลายครั้ง ทำให้เข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองดี

(ซ้าย) พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน

ส่วนแบบอย่างของ พล.อ.อภิรัชต์ อีกคนคือ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี และอดีต ผบ.ทบ.

ซึ่งเขาชมว่า เป็นนายทหารรบพิเศษที่ขึ้นมาด้วยความสามารถจริงๆ

และได้วางแนวทางการทำงานของกองทัพบกไว้ จน พล.อ.อภิรัชต์ยึดเป็นต้นแบบในการทำงานและสานต่อ จาก Smart Man Smart Army มาเป็น Smart Soldiers Strong Army และการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ ในการลงพื้นที่และไปค้างคืนในพื้นที่ คุยกับ ผบ.หน่วย เยี่ยมเยียนลูกน้องอย่างใกล้ชิดด้วย

ท่ามกลางการจับตามองว่า จากนี้ พล.อ.อภิรัชต์ก็จะได้ทำงานประสานงานใกล้ชิดกับ พล.อ.เฉลิมชัย ในฐานะองคมนตรีอีกด้วย

 

แน่นอน ไอดอลอีกคน บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่ พล.อ.อภิรัชต์ระบุว่า เป็นแบบอย่างในการรับราชการ

“ผมรักและเคารพ ผมเห็นในความทุ่มเทในการทำงาน ในการเป็นผู้บัญชาการทหารบก ท่านเป็นแบบอย่างของผม”

และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์รัฐประหาร ก็ไม่ได้คิดที่จะเข้ามาบริหารประเทศ แต่ความที่ต้องเสียสละตอนนั้น ถ้าวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตัดสินใจ อะไรจะเกิดขึ้น” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

พร้อมออกตัวว่า ผมไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวอะไรกับท่าน ท่านใช้ผมทำงานมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นผู้การกรม ผมเคยเจอท่าน คุยสัก 5-10 นาที ก็ ถือว่าเก่งแล้ว ส่วนเรื่องเจอและทักทาย ก็อีกเรื่อง

“ในชีวิตผม เคยนั่งคุยกับท่านไม่เกิน 1 ชั่วโมงแบบคุยต่อเนื่องนะ แค่นั้น ดังนั้น ถ้าจะถามเรื่องความเป็นกลางของผมกับท่าน ก็แล้วแต่มุมมอง” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

แต่ก็ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุน พล.อ.อภิรัชต์ให้เติบโต และกรุยทางให้จนได้เป็น ผบ.ทบ.ในวันนี้

โดยเฉพาะการเจรจากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และ รมว.กลาโหมในเวลานั้น เพื่อให้ พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.พล.1 รอ. คุมกำลังปฏิวัติ จนนำมาซึ่งการปฏิวัติ 22 พฤษภาคม 2557 นั่นเอง

อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ได้แต่งตั้ง พล.อ.อภิรัชต์เป็นประธานบอร์ดกองสลากฯ ที่ถูกมองว่าเป็นการตอบแทน ภายใต้ความสัมพันธ์แบบพี่น้อง ที่เรียกว่า มองตารู้ใจ แบบไม่ต้องคุยอะไรกันมาก

เพราะที่ผ่านมา พล.อ.อภิรัชต์เป็นนายทหารที่ปฏิบัติภารกิจลับในทางการเมืองให้ พล.อ.ประยุทธ์มาตลอดเป็นสิบปีเลยทีเดียว

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.อภิรัชต์จะถูกมองว่า จะนำกองทัพในการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ในทางการเมือง ในทุกหนทาง

และหาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง พล.อ.อภิรัชต์ก็ถูกจับตามองว่า จะเป็นฐานอำนาจให้อย่างเต็มที่ เพื่อให้มั่นใจว่า จะไม่มีการรัฐประหาร หาก พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ

 

เหล่านี้เอง จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ถูกจับตามองอย่างหนักว่า หากหลังเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นนายกฯ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หรือหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้วนั้น จะมีการสร้างเงื่อนไขและจะนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารขึ้นหรือไม่

ประกอบกับท่าทีของ พล.อ.อภิรัชต์ที่ยังคงเข้มข้น เป็นคนเดิมเช่นนี้

ที่สำคัญคือ การที่ พล.อ.อภิรัชต์พูดถึงขบวนการหมิ่นสถาบัน ที่มีทั้งพวกจิตไม่ปกติ และพวกจิตปกติ แต่มีความคิดแปลกๆ ที่ต้องออกไปอยู่นอกประเทศ

“ผมจะใช้ศักยภาพและขีดความสามารถที่ ทบ.มีอยู่ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมี ในการปกป้องสถาบัน รัฐบาลอาจผลัดเปลี่ยนกันไป แต่สถาบันกษัตริย์จะต้องคงอยู่คู่ฟ้าคู่แผ่นดินไทยไปตลอด” พล.อ.อภิรัชต์ประกาศตอกย้ำจุดยืน

โดยเฉพาะการตอกย้ำว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงเป็นองค์จอมทัพไทย ที่ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหาร ผมต้องเน้นย้ำ เตือนสติทหารเราด้วย เรามีหน้าที่ปกป้องสถาบัน ทั้งด้วยหน้าที่และด้วยหัวใจ”

บิ๊กแดงย้ำจุดยืนเดิม

 

เรียกได้ว่า หลัง พล.อ.อภิรัชต์แสดงท่าที จุดยืนทางการเมืองออกมาเช่นนี้ จนทำให้เกิดกระแสวิจารณ์และความวิตกกังวลแล้ว คาดกันว่าจะมีอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีก จากการสั่งการ และคำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ นับจากนี้อีก

แม้จะไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อ แต่แค่ครั้งแรก ก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างแรง

“เรื่องธรรมดา ก็ว่ากันไป” บิ๊กแดงไม่สะทกสะท้านใดๆ กับเสียงวิจารณ์

แต่กล่าวกันว่า ให้จับตาดูบิ๊กแดงคนนี้ให้ดี เพราะเขาถูกเลือกมาเป็น ผบ.ทบ. ในสถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้โดยเฉพาะ

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง จะได้รู้ว่า บิ๊กแดงเป็นคนเดิม จุดยืนเดิม จริงหรือไม่