บทวิเคราะห์ : สงครามการค้า กับการยกระดับความไม่แน่นอน

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนใหญ่โตขึ้นมากหลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายประกาศบังคับใช้กำแพงภาษีต่อสินค้าที่ขยายวงกว้างขึ้นกว่าเดิม

การดวลกันรอบล่าสุด หมายความว่ามหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้ง 2 ชาติจะบังคับใช้กำแพงภาษีต่อสินค้ามูลค่ามากกว่า 360,000 ล้านดอลลาร์

และนักวิเคราะห์ระบุว่า สถานการณ์มีแต่จะย่ำแย่ลง แม้ว่าจีนจะเริ่มมีวิธีในการตอบโต้น้อยลง

กำแพงภาษีรอบใหม่ที่ประกาศโดยรัฐบาลวอชิงตันและปักกิ่งในสัปดาห์นี้ “เป็นจุดที่แสดงให้เห็นถึงการยกระดับครั้งใหญ่ในความขัดแย้งของทั้ง 2 ชาติที่จะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก” หลุยส์ ไคจส์ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจเอเชียของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจออกซ์ฟอร์ดระบุ

รัฐบาลจีนเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมาว่าจะบังคับใช้กำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ฝ่ายบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะบังคับใช้กำแพงภาษีรอบใหม่ต่อสินค้านำเข้าจากจีน คิดเป็นมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์

กำแพงภาษีของสหรัฐจะเริ่มต้นที่อัตรา 10 เปอร์เซ็นต์ ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปลายปีนี้ โดยจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 24 กันยายนนี้ และจะมีผลกับสินค้าจีนหลายพันชนิดครอบคลุมตั้งแต่เครื่องปรุงรสและถุงมือเบสบอล ไปจนถึงอินเตอร์เน็ตเราเตอร์และชิ้นส่วนจักรกลในอุตสาหกรรม

ขณะที่รัฐบาลจีนประกาศว่ากำแพงภาษีรอบใหม่ของจีนจะเริ่มต้นที่อัตรา 5-10 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ มีผลบังคับใช้ในวันเดียวกัน โดยมีสินค้าของสหรัฐมากกว่า 5,000 ชนิดที่จะได้รับผลกระทบซึ่งรวมถึงเนื้อวัว ถั่ว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเคมี เสื้อผ้า เครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนรถยนต์

 

การปะทะกันระหว่าง 2 ชาติที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกได้สร้างความเสียหายให้กับหลายบริษัทจากทั้ง 2 ฟากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก และย่างก้าวล่าสุดของสหรัฐหมายความว่าผลิตภัณฑ์ราวครึ่งหนึ่งที่จีนส่งออกไปยังสหรัฐในแต่ละปีจะต้องเผชิญกับกำแพงภาษีของสหรัฐ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐปกป้องย่างก้าวล่าสุดทางการค้าเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า “เราทำงานที่ดีมากกับจีน” ทรัมป์กล่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว และว่า “จีนเอาเปรียบสหรัฐมาเป็นเวลานาน และสิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”

ฝ่ายบริหารของทรัมป์พยายามที่จะกดดันจีนเพื่อให้เปลี่ยนพฤติกรรม โดยกล่าวหาจีนว่าปล่อยให้มีการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐและส่งเสริมบริษัทของจีนผ่านทางนโยบายด้านอุตสาหกรรมที่ก้าวร้าว ซึ่งรัฐบาลจีนปฏิเสธข้อวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวว่าไม่มีมูลความจริงแม้ว่าบริษัทของสหรัฐและยุโรปหลายแห่งที่ดำเนินกิจการในจีนจะตำหนิเกี่ยวกับเรื่องนี้มานาน

จีนได้ตอบโต้แบบเท่าเทียมกับสหรัฐในเรื่องการปรับขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าของปีนี้คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วมากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ แต่ทางเลือกในการตอบสนองของจีนหลังจากนี้เริ่มมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น

ทำเนียบขาวเตือนเมื่อวันที่ 17 กันยายน ว่า จะตอบสนองต่อการตอบโต้ของรัฐบาลปักกิ่งด้วยกำแพงภาษีที่มากขึ้นอีกคิดเป็น 267,000 ล้านดอลลาร์ต่อสินค้านำเข้าจากจีน ที่จะหมายถึงว่ามาตรการของสหรัฐจะมีผลครอบคลุมสินค้าทั้งหมดที่จีนส่งออกมายังสหรัฐในแต่ละปี โดยมูลค่ารวมทั้งหมดของปี 2017 อยู่ที่ 506,000 ล้านดอลลาร์

จีนมีเป้าในการตอบโต้สหรัฐน้อยกว่ามาก โดยพวกเขาซื้อสินค้าของสหรฐคิดเป็นมูลค่าเพียงแค่ 130,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว อ้างอิงจากข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐ

กำแพงภาษีที่รัฐบาลปักกิ่งประกาศออกมาเมื่อวันที่ 18 กันยายน แสดงให้เห็นปริมาณสินค้าอันน้อยนิดที่จีนสามารถบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรใหม่ได้ โดยกำแพงภาษีใหม่นี้มีอัตราเพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ไปจนถึง 10 เปอร์เซ็นต์ น้อยกว่าที่จีนข่มขู่ไว้ในตอนแรกว่าจะปรับเพิ่มกำแพงภาษีที่อัตรา 5 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 25 เปอร์เซ็นต์

 

“จีนไม่สามารถเทียบสหรัฐได้ดอลลาร์ต่อดอลลาร์ในการประกาศใช้กำแพงภาษีรอบใหม่นี้ ดังนั้น คำถามสำคัญคือ มาตรการไหนที่จีนจะใช้ต่อจากนี้” มาร์ก วิลเลียมส์ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจจีนของศูนย์วิจัยแคปปิตอลอีโคโนมิกส์ระบุ

นักวิเคราะห์ระบุว่า หลังจากจีนหมดเป้าหมายในการเล่นงานสินค้าสหรัฐ พวกเขาอาจหันมาเล่นงานบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่ทำธุรกิจในจีนแทน อาทิ แอปเปิ้ลและโบอิ้ง ซึ่งจีนมีประวัติในการทำเช่นนี้อยู่แล้วก่อนหน้านี้ รวมถึงการสร้างความยากลำบากให้กับบริษัทของเกาหลีใต้หลังความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปีที่แล้วกับรัฐบาลเกาหลีใต้ในเรื่องระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐ

บริษัทของสหรัฐบางแห่งที่ดำเนินกิจการในจีนได้รายงานถึงอุปสรรคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงความล่าช้าที่ศุลกากรและการตรวจสอบอย่างเข้มงวดมากขึ้นของหน่วยงานกำกับดูแล อ้างอิงจากผลสำรวจของหอการค้าอเมริกัน 2 แห่งในจีน

แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่ในเรื่องว่าผู้นำจีนจะเลือกใช้วิธีการที่แข็งกร้าวในวงกว้างมากกว่านี้ด้วยการเรียกร้องให้ผู้บริโภคบอยคอตสินค้าสหรัฐหรือทำให้ซัพพลายเชนหยุดชะงักหรือไม่

ก่อนหน้าการประกาศใช้กำแพงภาษีรอบล่าสุด แลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาวระบุว่าสหรัฐยินดีที่จะเจรจารอบใหม่กับจีน ขณะที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนเปิดเผยในวันถัดมาว่า การบังคับใช้กำแพงภาษีรอบใหม่ “ได้นำมาซึ่งความไม่แน่นอน” ของการเจรจาครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปักกิ่งยังไม่ระบุอย่างชัดเจนว่าจะถอนตัวจากการเจรจาดังกล่าวหรือไม่

เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดกันต่อไป