เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ อำลา…เอเชี่ยนเกมส์ 2018

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์

อำลา…เอเชี่ยนเกมส์ 2018

ปิดฉากอย่างเป็นทางการไปแล้ว สำหรับการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ที่ประเทศอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพ จาการ์ตา ปาเล็มบัง 2018
แม้ในพิธีปิดจะออกแนวเปียกปอนสักหน่อย เพราะสายฝนได้ตกลงมาก่อนจะเริ่มพิธีไม่เท่าไร ในพิธีจึงได้เห็นเหล่านักกีฬาสวมชุดกันฝนเดินพาเหรดเข้าสนามกัน
แต่เจ้าภาพอินโดนีเซียก็ส่งท้ายปิดการแข่งขันได้อย่างคึกคักสนุกสนาน รวมทั้งเป็นการฉลอง 31 เหรียญทองของเจ้าภาพเองอีกด้วย
สำหรับไทยนั้นปิดที่อันดับที่ 12 ทำได้ 11 เหรียญทอง 16 เหรียญเงิน และ 46 เหรียญทองแดง ซึ่งเป็นการต่ำกว่าอันดับท็อปเท็นเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี
และครั้งนี้จำนวนเหรียญทองที่ทำได้ก็น้อยกว่าคราวที่แล้วอยู่ 1 เหรียญ

นั่นคงสะท้อนอะไรได้บ้าง หากดูแค่ตัวเลขและอันดับ ก็คงสรุปว่าเราถดถอยลงเล็กน้อย สาเหตุถ้าไม่เพราะเราเก่งน้อยลง คู่แข่งก็ต้องเก่งมากขึ้น อันนี้คงต้องเป็นเรื่องของแต่ละสมาคมที่จะประเมินผลกันออกมา
ใน 11 เหรียญทองนั้น ได้จากกีฬาทางอากาศ 2 เหรียญ, จักรยาน 1 เหรียญ, เจ๊ตสกี 1 เหรียญ, ยิงเป้าบิน 1 เหรียญ, เทควันโด 2 เหรียญ และตะกร้อ 4 เหรียญทอง
ขาดเหรียญจากกีฬาที่เราได้หวังไว้อย่างมวยสากลสมัครเล่น และยกน้ำหนักไป และกรีฑาประเภทลู่ที่เป็นอีกชนิดกีฬาที่แฟนๆ ติดตามให้กำลังใจ ครั้งนี้ก็ทำไม่ได้ตามที่หวังไว้
แต่เราก็ไปได้จากประเภทกีฬานอกสายตาอย่างกีฬาทางอากาศคือ การกระโดดร่ม รวมทั้งจักรยาน ที่ต้องบอกว่าเตรียมแผนการแข่งขันมาดีจนคว้าชัยชนะมาได้
หากจะดูประเภทกีฬาสากล เราได้มาเพียง 4 เหรียญจากเทควันโด ยิงเป้าบิน และจักรยานประเภทลู่ ซึ่งหากจะต่อยอดไปสู่กีฬาโอลิมปิกในอีก 2 ปีก็ต้องคิดหนักว่าหนทางยังอีกยาวไกล

 

สําหรับเบื้องหลังของผลการแข่งขันก็ต้องโฟกัสไปที่กีฬาที่แฟนๆ กีฬาชาวไทยให้ความสนใจ อันดับแรกคือ กีฬาฟุตบอล ที่ทั้งทีมชายและหญิงนั้นถือว่าล้มเหลวพอสมควร
โดยเฉพาะกับทีมฟุตบอลชายไทยนั้น เกิดดราม่าติดตามมาอย่างมากตามที่หลายคนคงทราบข่าวกันไปแล้ว แม้หวยจะออกจังเบอร์ที่ “โค้ชโย่ง-วรวุฒิ ศรีมะฆะ” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นสาเหตุของความล้มเหลวเพียงอย่างเดียว
ข้อสำคัญคือ การจัดการที่ล้มเหลวต่างหาก โดยเฉพาะเวลาของการฝึกซ้อมที่ถือว่าน้อยมาก ผลจึงออกมาตามนั้น
หากจะเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว ที่ทีมฟุตบอลชายไทยสามารถทำได้ถึงอันดับ 4 และในแต่ละนัดก็สามารถเล่นบอลได้อย่างสนุก เร้าใจ มีฟอร์มและเอาชนะทีมใหญ่ๆ มาได้อย่างหักปากกาเซียน ก็เพราะมีแผนการรวมทีมกันมานาน นักเตะก็ไม่ได้อายุแตกต่างจากตอนนี้เท่าไหร่เลย
ฉะนั้น เรื่องอายุที่พูดถึงนั้นไม่ได้เป็นประเด็น สำคัญที่แผนการทำทีมต่างหาก ซึ่งอันนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับอดีตโค้ช “ซิโก้”
อยากจะพูดเรื่องของอายุนักเตะอีกสักหน่อย โดยส่วนตัวแล้วผมชื่นชมทีมฟุตบอลญี่ปุ่น ที่ตัดสินใจส่งนักเตะรุ่น U21 มาแข่งขัน เพราะพวกเขาคืออนาคตที่จะต่อยอดไปถึงกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพในปี 2020 และพวกเขาก็ทำได้ดีถึงตำแหน่งรองแชมป์ ที่ยันทีมเกาหลีใต้อายุ 23 ปีและมีนักเตะอายุเกินถึง 3 คนรวมทั้ง ซน ฮึง มิน นักเตะดังจากทีมท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์อีกด้วย แม้จะมาพ่ายในช่วงต่อเวลา แต่ก็จบผลสกอร์ที่ 2-1 ประตู ไม่ได้ขี้เหร่เลย
เชื่อว่านักเตะชุดนี้อนาคตไกลแน่นอน
ส่วนทีมฟุตบอลหญิงแม้จะได้เข้าไปเล่นต่อในรอบสองแบบฟลุกๆ แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงคุณภาพทีมที่ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ เมื่อแพ้ให้กับทีมชาติจีนไปถึง 5-0 ประตู

เมื่อพูดถึงกีฬาฟุตบอลแล้ว นักเตะที่ถูกจับตามองอย่างมากในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้ เห็นจะเป็น ซน ฮึง มิน นี่แหละ เพราะนอกจากจะแบกรับความหวังในการคว้าเหรียญทองมาครองแล้ว เขายังต้อง “เตะหนีทหาร” อีกด้วย เพราะตามกฎหมายเรื่องการเกณฑ์ทหารของเกาหลีใต้ที่แข็งแรงได้ให้โอกาสกับนักกีฬาทีมชาติที่สามารถลดหย่อนไม่ต้องเกณฑ์ทหารได้ หากได้เหรียญกลับมาจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก หรือถ้าเป็นกีฬาเอเชี่ยนเกมส์แล้ว ต้องได้เหรียญทองเท่านั้น
ซง ฮึง มิน ตั้งใจใช้กฎนี้มาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วในโอลิมปิกครั้งที่ผ่านมาที่เกาหลีใต้ เขาได้เป็นนักกีฬาที่ร่วมทีมครั้งนั้นด้วย แต่ทว่าทีมเกาหลีใต้จอดป้ายแค่รอบ 4 ครั้งนี้จึงเป็นความหวังของเขาอีกครั้งหนึ่ง และเป็นครั้งสุดท้ายด้วย เพราะเขาอายุ 26 ปีแล้ว และกฎพิเศษนี้ยอมให้ใช้ได้ถึงแค่อายุ 29 ปีเท่านั้น
อาการเตะลืมตาย และตำแหน่งกัปตันทีมของเขา จึงทำให้เขาเหมือนกับการวิ่งไปและแบกอะไรหนักๆ ไปด้วย ยิ่งในแมตช์ชิงชนะเลิศที่ทีมเกาหลีใต้ไม่สามารถเจาะแนวรับของญี่ปุ่นได้สำเร็จใน 90 นาที
เมื่อเพื่อนนักเตะมายิงลูกแรกได้ในช่วงต่อเวลา ซง ฮึง มิน จึงดีใจสุดๆ ราวกับเป็นผู้ยิงประตูได้เสียเอง คงนึกว่า…ท่าจะรอดแล้วกู และยิ่งมาได้ประตูที่ 2 ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจขึ้นไปอีก
เอ…ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะหันมาทดลองใช้กฎทำนองนี้บ้างจะดีไหม แต่ใช้กับการไม่ต้องเกณฑ์ทหารคงไม่ได้ เพราะพี่ไทยเรามีทางออกที่จะหลบเลี่ยงได้ง่ายกว่านี้เยอะ…ฮา

สําหรับกีฬายอดฮิตอีกอย่างคือ วอลเลย์บอล โดยเฉพาะทีมหญิง ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่โดยการคว้าเหรียญเงินมาครอง ซึ่งสูงกว่าครั้งที่แล้วที่ได้เหรียญทองแดง โดยเฉพาะครั้งนี้เป็นเอเชี่ยนเกมส์ครั้งสุดท้ายของนักกีฬาดาวดังหลายคน ไม่ว่าจะเป็น กิ๊ฟ-วิลาวัณย์ หน่อง-ปลื้มจิตร์ ซาร่า-นุศรา อร-อรอุมา และปู-มัลลิกา นับว่าพวกเขาทิ้งทวนได้อย่างสวยงาม
ซึ่งกีฬาวอลเลย์บอลก็เป็นหนึ่งกีฬาที่สร้างนักกีฬารุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทนได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในประเภทกีฬาชนิดอื่นด้วย อย่างกรีฑา มวยสากลสมัครเล่น ยกน้ำหนัก ที่แม้จะยังไม่สำเร็จนัก ก็ต้องรอคอยความสำเร็จกันต่อไป
ขอให้ตั้งใจอดทนฝึกซ้อม ไม่ย่อท้อ แล้วความสำเร็จจะมาเยือนเอง

ส่วนนักกีฬาที่สร้างความประทับใจในครั้งนี้ก็มีหลายคน ไม่ว่าจะเป็น น้องณี-สุธิยา จิวเฉลิมมิตร ที่เคยทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในระดับโลก แต่มาผิดหวังในกีฬาโอลิมปิกที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ที่ผ่านมา จากครั้งนั้นสุธิตาได้แปรเปลี่ยนความผิดหวังมาเป็นพลังในการพัฒนาตัวเอง และครั้งนี้เธอก็ทำได้โดยชนะคู่แข่งเพียงแค่คะแนนเดียวเท่านั้น บีบหัวใจสุดๆ
นักกีฬาอีกคนหนึ่งที่สร้างประวัติศาสตร์ แม้จะไม่ใช่เหรียญทอง แต่ก็เป็นเหรียญเงินที่น่าภูมิใจ นั่นคือ สุทธิศักดิ์ สิงขร นักกีฬาทศกรีฑาซึ่งเราไม่เคยได้รับเหรียญจากกีฬาประเภทนี้มาก่อนเลย ซึ่งเขาเกือบจะคว้าเหรียญทองได้ด้วยซ้ำ
รวมทั้ง จาย อังค์สุธาสาวิทย์ นักปั่นจักรยานประเภทลู่ ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย ที่คว้าเหรียญทองมาครองได้ชนิดที่เฉือนคู่แข่งชาวญี่ปุ่นไปแบบต้องใช้ภาพถ่ายยืนยัน เบื้องหลังคือการวางแผนการแข่งขันที่วางให้จายอยู่อันดับหลังสุดเมื่อปล่อยจุดสตาร์ตแล้วค่อยขยับไล่แซงขึ้นมาจนเบียดคู่แข่งแบบลุ้นสุดตัวคว้าชัยมาได้ ลองไปย้อนดูคลิปแห่งความมันกันได้นะครับ
อย่างไรก็ตาม ต้องขอชื่นชมนักกีฬาและทีมงานทุกคนที่ทุ่มเท เหน็ดเหนื่อย อดทน ต่อสู้มาจนจบการแข่งขัน ไม่ว่าพวกเขาและเธอจะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน แต่พวกเขาล้วนคือตัวแทนประเทศไทย ที่เราสมควรชื่นชมและให้กำลังใจนั่นเอง
พบกันใหม่กับเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีนครับ