แม่หวาน ละมุนมัม : “ขิม” ในหัวใจ

13 สิงหาคม

ครูเก้าคะ เมื่อวานหวานขับรถเรื่อยเปื่อยไปแถว Applecross ซึ่งเป็นเขตบ้านพักตากอากาศที่เงียบสงบเหมือนแม่น้ำสวอนที่ราบเรียบ แนวว้าว โค้ง ตรงบริเวณแหลมที่ยื่นไปในแม่น้ำดูงดงามยิ่งในยามเย็นที่แสงอาทิตย์อ่อนแรง

ผู้สูงอายุหลายคู่ หลายคนที่พากันเดินจูงมือมาเดินเล่นต่างยิ้มให้กันอย่างอารมณ์ดี

หวานอดไม่ได้จึงจอดรถบริเวณริมแม่น้ำที่มีเป็ดน้อยลอยตุ๊บป่องอยู่อย่างสุขสบาย

— Hi Good evening!

คือคำทักทายที่ต่างก็ทักแล้วยิ้มให้กันอย่างสดชื่น

หวานลงไปโบกมือยิ้มทักทายเล็กน้อยก่อนนึกถึงรอยยิ้มและสัญญาที่ให้ไว้กับครูว่าหวานจะเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่หวานประสบพบเจอในเมืองเพิร์ธประเทศออสเตรเลียให้ครูได้รับทราบขึ้นมาได้

ความวุ่นวายในการย้ายประเทศไม่ใช่เรื่องที่จะลงตัวกันอย่างง่ายดายดังเช่นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ทั้งสภาพดินฟ้าอากาศ หรือวัฒนธรรม หรือผู้คนก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หวานลุ่มๆ ดอนๆ สมองขุ่นมัวอยู่เป็นเดือนกว่าหลายอย่างจะผ่อนคลาย

 

หวานยังจำวันที่หวานหิ้วขิมขึ้นเครื่องบินเมื่อปลายเดือนมิถุนายนได้ดี

–ใส่ไปในเครื่องเลยนะ จะได้ไม่ต้องหิ้วให้หนัก แต่เสียงก็อาจจะเพี้ยนไป หรืออาจจะมีความเสียหายเกิดขึ้น หวานต้องหัดปรับ (จูน) เสียง หรือหัดซ่อมขิมบ้างนะ

โอ้ (ฮา) ตอนที่ครูพูดออกมานั้นหวานแทบจะนึกภาพไม่ออกเลยค่ะ สำหรับหวานคนที่เพิ่งเริ่มเรียนขิมได้ 3 เดือน แต่วันนี้หวานสามารถกล้อมแกล้มปรับเสียง เรียนรู้องค์ประกอบของขิมแต่ละชิ้น หรือเข้าใจถึงฟังก์ชั่นการทำงานของเครื่องขิม

สิ่งเหล่านี้ทำให้หวานรู้สึกถึงความคุ้นเคยและเป็นหนึ่งเดียวระหว่างหวานกับขิมได้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวค่ะ

แต่จริงๆ แล้วเครื่องขิมเก้าหย่องไม่ได้ลงไปนอนอยู่ใต้ท้องเครื่องแต่อย่างใด เพราะพนักงานหญิงที่จุดเช็กอินสนามบินสุวรรณภูมิที่หวานหมายมั่นจะส่งขิมลงท้องเครื่องได้พูดว่า

–หิ้วไปเข้าท้องเครื่องตรงด่านก่อนขึ้นเครื่องบินดีกว่าค่ะ ขิมจะได้ไม่เสียหายกับการถูกจับโยนจากจุดตรงนี้

 

หวานน้อมรับด้วยดี เดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้อย่างรอดปลอดภัย จนมาถึงด่านก่อนขึ้นเครื่อง พนักงานตรวจตั๋วมองหน้าหวานยิ้มๆ แล้วถามว่า

–นี่คืออะไรคะ?

หวานตอบไปว่า

–ขิมค่ะ จะนำไปเล่นที่เพิร์ธ และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันค่ะ

พนักงานหญิงชายเดินมาพินิจพิเคราะห์ขิมใกล้ๆ หวาน

–อยากดูไหมคะ?

หวานพยายามจะเปิดโชว์ให้ดู แต่พนักงานทั้งสองสามคนตรงหน้ายิ้มน้อยๆ บอกว่า

–ไม่เป็นไรค่ะ จะลำบากเปล่าๆ เดี๋ยวจะลองดูที่วางบนเครื่องให้นะคะ

หวานนั่งรออยู่สักพักก็มีพนักงานสองสามคนเดินมาหาหวานอีก

–หิ้วขึ้นเครื่องเลยไหมครับ? ผมว่าน่าจะใส่ในช่องเก็บของข้างบนได้พอดีเลยนะครับ

พนักงานชายผิวขาวตัวเล็กๆ พูดจานุ่มนวลผสมคำว่าครับและค่ะรวมๆ กันในบทสนทนาตลอดเวลา และชอบแวะเวียนมาถามมาคุยกับหวาน คาดว่าเขาน่าจะเป็นหัวหน้าที่ชื่นชอบเครื่องดนตรีไทย อยากสนับสนุนดนตรีไทยไปต่างแดนกระมังจึงได้นำลูกน้องเข้ามาวัดขนาดเครื่องขิม

และสุดท้ายก็อนุญาตให้หวานนำขิมขึ้นเครื่องได้โดยให้สิทธิพิเศษได้ขึ้นเครื่องก่อนผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส หรือผู้โดยสารที่มีเด็ก หรือคนพิการด้วยค่ะ

หวานเขินอายมากที่มีคนยืนมองหวานเดินถือขิมขึ้นเครื่องคนแรก

 

เมื่อหวานผ่านด่านศุลกากร เพื่อตรวจสิ่งของต้องสำแดงเข้าเมืองเพิร์ธที่ใครๆ ก็บอกว่าเข้มงวดมาได้อย่างง่ายดายคือหน้าตาหวานคงซื่อบริสุทธิ์ไร้ความร้ายกาจ หรือสิ่งหมกเม็ดใดๆ แน่ค่ะ (ฮา)

หวานแค่ทักทายกับพนักงานด่านเล็กน้อยเท่านั้นทุกอย่างก็ผ่านฉลุย หมาดมกลิ่นจมูกดีเช่นหมาลาบราดอร์ก็ไม่ได้วนเวียนเข้าใกล้หวานเลยแม้แต่น้อย

ค่ะแน่นอนเครื่องขิมก็ปลอดภัยอยู่กับมือหวานตลอดเวลาค่ะ

ขิมอาจจะเป็นแค่เครื่องดนตรีเก่าโบราณของไทยชิ้นหนึ่งที่ไร้ซึ่งคนให้ความสำคัญก็ได้ แต่สำหรับหวาน ขิมคือสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ หรือจะบอกว่ามีคุณค่าในชีวิตหวานก็ได้

ดังนั้น เมื่อบ้านเช่าลงตัว หวานจึงตั้งขิมไว้ในตำแหน่งที่เด่นที่สุดในห้องนั่งเล่น คือขิมไม่ใช่แค่เครื่องดนตรี

แต่เป็นเครื่องประดับหนึ่งชิ้นที่หวานสามารถจับไม้มาเล่นได้ทุกครั้งที่ใจปรารถนา

 

–นี่คือเครื่องดนตรีอะไร? ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน

ช่างไม้ที่เจ้าของบ้านส่งมาให้ซ่อมหน้าต่างเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นขิมตรงหน้า ด้วยความที่เขาเป็นช่างไม้เขาคงสนใจว่าเครื่องดนตรีนี้เสียงเป็นเช่นไร? เสียงออกมาทางไหน? ซึ่งเจ้าของบ้านก็เคยสงสัยแบบนี้เช่นกัน

หวานจึงมักจะหยิบไม้มานั่งเล่นเพลงสั้นๆ ให้เขาฟัง เมื่อฟังแล้วพวกเขาดูสดชื่น ยิ้มแย้ม

และที่สำคัญเขาทำตัวน่ารักกับเรามากขึ้นด้วยค่ะ

ครั้งหนึ่งมีหนุ่มช่างซ่อมท่อระบายน้ำเข้ามาซ่อมในบ้านเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ด้วยความเบื่อหวานกับลูกสาวก็เล่นเพลงขิมไปเรื่อยๆ จากที่เขามองเราเป็นเอเชีย และดูถูกดูแคลนเรากลับกลายเป็นว่าหันมายิ้ม เข้ามาพูดจาอย่างสุภาพกับเราที่นั่งเล่นขิมอยู่

แล้วยังถอดรองเท้าเข้าบ้านเราทุกครั้ง ทุกคน รวมทั้งช่วยทำความสะอาดให้บ้านเราอย่างดีเมื่อซ่อมแซมห้องน้ำและห้องซักผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

“ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก

อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดกบฏอัปลักษณ์

ฤๅอุบายเล่ห์ร้ายขมังนัก มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี

อีกดวงใจย่อมดำสกปรก ราวนรกเช่นกล่าวมานี่

ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้ เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ”

 

(พระราชนิพนธ์แปล ในรัชกาลที่ 6 (จากต้นฉบับของ วิลเลี่ยม เช็กสเปียร์))

คนเมืองเพิร์ธคงมีดนตรีในหัวใจแทบทุกคน และเสียงขิมก็ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจเขาเหล่านั้นไปในทางที่ดี ที่เอื้อเฟื้อ ที่เห็นอกเห็นใจ ที่เข้าใจในวัฒนธรรมของฝั่งตรงข้าม โดยที่หวานไม่ต้องมานั่งเล่าเรื่องราว หรือวางอำนาจ ทำตัวข่มขู่ใครแต่อย่างใด

หวานแค่นั่งเล่นเพลงขิมจากหัวใจอย่างผ่อนคลายและสบายใจ

แต่เสียงนั้นกลับส่งเข้าไปในจิตใจของพวกเขา และเขาเหล่านั้นก็ถูกขัดเกลาจิตใจให้งดงามขึ้นมาอย่างง่ายดาย