เมนูข้อมูล : โอกาสแห่งการเรียนรู้

ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ตาม แต่ช่วงที่อำนาจรัฐอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าต้องการสืบทอดอำนาจต่อไป มีสิ่งหนึ่งที่เป็นประสบการณ์อันน่าจะเป็นประโยชน์อย่างสูงยิ่งสำหรับประชาชนทั่วไป

นั่นคือการได้เรียนรู้เกมแห่งอำนาจ

เป็นประสบการณ์ที่สัมผัสและรับรู้ได้ด้วยตัวเองโดยตรง ไม่ใช่แค่การบอกเล่าของใคร

“เกมอำนาจ” ที่จะมี “การเลือกตั้งทั่วไปเป็นสมรภูมิ”

การเมืองเป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจ สัญชาตญาณของ “นักการเมือง” คือผู้แสวงหาอำนาจ ไม่มีนักการเมืองคนไหนไม่ต้องการอำนาจ แตกต่างกันแค่เมื่อได้อำนาจมาแล้ว ใช้อำนาจเพื่อจุดประสงค์อะไร

เพียงแต่ว่าในช่วงที่การปกครองประเทศยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยสากล ไม่ว่าจะปรารถนาในอำนาจอย่างแรงกล้าอย่างไร ความจำเป็นที่จะต้องเล่นในกติกา และรักษาจริยธรรมยังมีอยู่ในระดับที่ยังต้องกังวลกับการถูกกล่าวหาว่าเอาเปรียบคู่ต่อสู้

ดังนั้น แม้จะเป็นการช่วงชิงอำนาจ แต่ในกรอบกติกาของยุคสมัยประชาธิปไตยสากลนั้น ความกระเหี้ยนกระหือรือในชัยชนะไม่ปรากฏเข้มข้นอะไรมากนัก

ในยุคสมัยประชาธิปไตยที่การวิพากษ์วิจารณ์เปิดกว้าง การเขียนกติกาเพื่อปิดโอกาสคู่ต่อสู้ เปิดทางโล่งให้ตัวเองและพวกพ้อง การใช้อำนาจเพื่อสลายพลังของคู่ต่อสู้ สร้างความได้เปรียบให้ตัวเอง ยังเป็นความละลายที่นักการเมืองแม้จะทำก็ได้แค่อย่างซ่อนเร้น

ยังมีความละอายอยู่สูงที่ควบคุมไม่ให้ใช้อำนาจคุกคามแบบหยาบๆ เหมือนไม่ใส่ใจแม้กระทั่งความตระหนักรู้จริยธรรมในใจตัวเอง

ยุคสมัยเช่นนั้น “ความกระหายในอำนาจที่ทำให้ละเลยจริยธรรม” จึงเป็นเรื่องแม้จะทำกันก็จะไม่เป็นไปอย่างโจ๋งครึ่มเปิดเผย เหมือนไม่มีความละอาย ว่าการช่วงชิงอำนาจโดยการเอารัดเอาเปรียบนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอดทน อดกลั้นที่จะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง

สันดานดิบแห่งการช่วงชิงอำนาจของนักการเมืองจึงไม่มีการแสดงออกอย่างแจ่มชัดนัก และอีกอย่างก็คือนักการเมืองที่อาศัยอำนาจที่ประชาชนหยิบยื่นให้นั้น การจะทำในเชิงใช้อำนาจโดยไม่ใส่ใจความรู้สึกนึกคิดของประชาชนเป็นเรื่องยากจะเกิดขึ้น

ดังนั้น ความชัดเจนของธรรมชาตินักการเมือง ในยุคสมัยที่อำนาจไม่เกี่ยวกับประชาชนจึงปรากฏออกมาได้ชัดกว่า

และเมื่อมีความเป็นไปที่บีบคั้นให้วิตกว่าโอกาสแห่งชัยชนะมีปัญหาการแสดงออกของการใช้อำนาจทุกวิถีทางยิ่งออกมาให้เรียนรู้ได้ชัด

ผลสำรวจของส่วนดุสิตโพลล่าสุดเรื่อง “ความสนใจของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมือง” ที่ออกมาว่า ร้อยละ 55.02 สนใจพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 34.18 สนใจพรรคอนาคตใหม่ ร้อยละ 33.88 สนใจพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 17.39 สนใจพรรคพลังประชารัฐ และร้อยละ 12.59 สนใจพรรคภูมิใจไทย

เป็นผลสำรวจที่น่าสนใจยิ่ง เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ความพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วงชิงอำนาจ ซึ่งสะท้อนสัญชาตญาณนักการเมืองชัดเจนอย่างยิ่งอยู่แล้ว

ในสถานการณ์ที่มีแรงบีบคั้นต่อผู้มีอำนาจมากขึ้นเช่นนี้ จะยิ่งเป็นพฤติกรรมที่แจ่มชัดมากขึ้น

เมื่อเป็น “เกม” ย่อมเป็นการต่อสู้ และไม่มีใครอยากที่จะพ่ายแพ้ และเป็นธรรมชาติที่ทุกคนต้องพยายามหาทางให้ตัวเองได้เปรียบคู่ต่อสู้มากที่สุด

เพียงแต่ว่า ในยุคสมัยของประชาธิปไตยนั้น การหาทางให้ตัวเองได้เปรียบย่อมเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไร้จริยธรรมในการต่อสู้ และ “นักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน” ย่อมระมัดระวังภาพลักษณ์ของตัวเองจะหลุดไปอยู่ในกลุ่มไร้จริยธรรมนั้น

ทำให้การเรียนรู้ “สัญญาตญาณของมนุษย์ในเกมแห่งอำนาจ” ไม่มีบทเรียนที่ชัดเจนนัก

ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ทุกคนจะได้สัมผัสประสบการณ์ตรงด้วยตัวเอง