เสฐียรพงษ์ วรรณปก : ตัวอย่างวิบากแห่งกรรม

ตัวอย่างวิบากแห่งกรรม (1)

วันนี้ขอ “จับเข่าคุย” กันถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์บ้าง เณรคัมภีร์บ้าง เอ๊ย ที่ได้รับบอกเล่ากันมาบ้าง สักสองสามเรื่องนะครับ

เรื่องที่หนึ่ง สาวๆ ควรจะรับฟังเป็นอย่างยิ่ง

พระนางโรหิณี พระกนิษฐภคินี (น้องสาวคนเล็ก) ของพระอนุรุทธะเถระ เป็น “หยิน” ที่มีพระสิริโฉมงดงามเป็นอย่างยิ่ง

วันหนึ่งเกิดโรคผิวหนังขึ้นแก่พระนาง แรกๆ ก็คันตามผิวหนังธรรมดาๆ แต่พอเกาๆ ไป ผิวหนังก็แตกเป็นแผลพุพองไปเรื่อยๆ เกือบทั่วร่างกาย รักษาอย่างไรก็ไม่หาย

ในที่สุดพระนางก็มิได้ออกสังคม คงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องด้วยความเศร้าพระทัยว่าทำไมนางจึงเคราะห์ร้ายอย่างนี้

ในช่วงที่เกิดเรื่องนี้ พระอนุรุทธะเชษฐาของนางได้ออกบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า ได้ติดตามพระพุทธเจ้าไปเผยแพร่พระศาสนายังเมืองต่างๆ หลายปี มิได้กลับมายังเมืองมาตุภูมิเลย ท่านจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวคนสวยของท่าน

วันหนึ่งท่านอนุรุทธะเดินทางกลับมายังเมืองกบิลพัสดุ์ บรรดาพระญาติทั้งหลายได้นิมนต์ท่านไปฉันภัตตาหารที่ตำหนักเก่าของท่าน ไม่เห็นกนิษฐภคินีมาคุยด้วย จึงถามหา

พระญาติทั้งหลายเรียนท่านว่า “นางโรหิณี ขลุกอยู่ในห้อง ไม่กล้ามาหาท่าน”

“ทำไมล่ะ” พระเถระถาม

“นางเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง คงจะอายกระมัง” พระญาติทั้งหลายบอก

พระเถระจึงให้คนไปตามนางมาหา บอกแก่นางว่า “โรคนี้เป็นผลของกรรมเก่าที่นางได้กระทำไว้ ขอให้นางจงทำบุญกุศลเพื่อ “ลบล้าง” กรรมเก่าตั้งแต่บัดนี้เถิด”

เมื่อถามว่าจะให้ทำบุญอะไรบ้าง พระเถระบอกว่า ไม่ต้องทำอะไรมากมาย ให้สร้าง “อุปัฏฐานศาลา” (หอฉัน) แล้วให้ปัดกวาดเช็ดถู ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้สำหรับพระสงฆ์ ตลอดจนล้างถ้วยล้างชาม กวาดลานวัดให้สะอาดเสมอ

นางก็ได้ปฏิบัติตามที่พระเถระ เป็นเชษฐาแนะนำ เวลาล่วงไปหลายเดือน โรคผิวหนังที่เป็นมาหลายปีก็หายยังกับปลิดทิ้ง เป็นที่น่าอัศจรรย์

เมื่อพระอนุรุทธะกลับมายังมาตุภูมิอีกครั้ง นางโรหิณีได้มานมัสการพระเชษฐา เล่าเรื่องราวให้ทราบด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสที่ได้กลับมาเป็น “หยิน” ที่สดสวยน่ารักเหมือนเดิม พร้อมเรียนถามพระพี่ชายว่า ชาติก่อนตนทำกรรมอะไรไว้ จึงเสวยผลเช่นนี้

พระเถระเล่าว่า ในอดีตกาลนานแล้ว นางโรหิณีเป็นพระมเหสีของพระราชาพระองค์หนึ่ง ไม่พอใจที่พระสวามีไป “ติด” นางรำคนหนึ่ง จนกระทั่งไม่สนพระทัยพระนางซึ่งเป็นพระมเหสี

หึง ว่าอย่างนั้นเถอะ เมียมีทั้งคนไม่สน ไปหลงอีนางรำต่ำต้อย มันน่านัก (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงนึกถึงเป็ดขึ้นมาตงิดๆ ว่าเป็ดมันคงหิว น่าจะหาอาหารให้มันกินสักหน่อย ว่าอย่างนั้นเถอะ บรื๊อ!)

นางทำทีว่าเมตตารักใคร่นางรำคนโปรดของพระสวามี เรียกมาสนทนาพูดคุยอย่างสนิทสนมทุกวัน ข้างฝ่าย “พระเอก” ก็ดีพระทัยว่าบ้านใหญ่กับบ้านเล็กเข้ากันได้ดี โนพลอมแพล็มดีแท้ มันจะสุขใจอะไรปานนั้น

หารู้ไม่ว่ามารยาหญิงนั้น หลายร้อยรถบรรทุกก็บรรทุกไม่หมด พระมเหสีสั่งซื้อชุดแต่งตัวอย่างสวยงามให้นางรำใหม่ชุดหนึ่ง สำหรับให้นางใส่ออกงานสำคัญต่อหน้าพระที่นั่ง เป็นปลื้มทั้งแก่พระสวามีและนางรำคนโปรดเป็นอย่างยิ่ง

วันเฉลิมฉลองใหญ่ก็มาถึง นางรำคนสวยร่ายรำอยู่ในชุดที่หรูหรางดงามยิ่ง ท่ามกลางมหาสันนิบาตที่มีพระราชาและพระมเหสีประทับเป็นประธาน และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

นางรำเกิดอาการคันที่ร่างกาย ทีแรกก็คันเพียงเล็กน้อย แต่ยิ่งนานไปก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน จนกระทั่งทนร่ายรำไปไม่ไหว เพราะมันปวดแสบปวดร้อนไปทั่วสรรพางค์กาย เปลี่ยนจากท่าร่ายรำมาเป็นท่าลิงเกาหิดไปโดยอัตโนมัติ ในขณะที่สายตาอำมหิตคู่หนึ่งจ้องมองด้วยความสะใจ

พระมเหสีของพระราชานั่นเอง

พระนางได้เอาผง “หมามุ่ย” โรยไว้ทั่วชุดแต่งตัว ทำให้ผู้สวมใส่เกิดอาการคะเยอไปทั่วสรรพางค์ ยังผลให้นางรำเกิดเป็นโรคผิวหนังรักษาอยู่ตั้งนานกว่าจะหาย หายแล้วก็ยังเป็นรอยกะดำกะด่างผิวไม่สวยงามเหมือนเดิมอีกต่างหาก

“พระมเหสีนางนั้น มาเกิดเป็นน้องหญิงโรหิณีในบัดนี้ เพราะกรรมที่ทำไว้ครั้งนั้นด้วยจิตอิจฉาริษยาต่อผู้อื่น มาบัดนี้จึงเกิดเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังรักษาไม่หาย” พระอนุรุทธะเถระเจ้าสรุป

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรหนึ่ง ความอิจฉาริษยาทำให้ผิวพรรณไม่สวย มองได้ทั้งผลในปัจจุบันและผลที่ข้ามภพข้ามชาติ ผลในปัจจุบันเห็นได้ครับ ถ้าเราอิจฉาตาร้อนใคร จิตใจเราจะไม่มีความสุขสงบภายใน มีแต่ความร้อนรุ่ม นั่งก็ไม่เป็นสุข นอนก็ไม่เป็นสุข วันๆ คิดแต่จะสาปแช่งให้ (ไอ้ อี) คนที่เราไม่ชอบขี้หน้ามันฉิบหายวายป่วง

คนที่เราอิจฉาตาร้อน สาปแช่งทุกวันนั้น เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย เขายังสุขสบายดีตามประสาของเขา แต่เราสิครับ ยิ่งเห็น ยิ่งได้ยินว่าเขายังสบายดี ไม่เป็นอะไรอย่างที่เราต้องการให้เขาเป็น เราก็ยิ่งเร่าร้อนภายในยิ่งขึ้น

คนที่ใจไม่สงบสุข ร้อยทั้งร้อยใบหน้าก็ไม่ผุดผ่องสดใส หน้านิ่วคิ้วขมวดยังกับเหม็นขี้ตลอดทั้งวัน ไม่เป็นที่สบายใจของผู้พบเห็น

ใบหน้าไม่ผุดผ่องสดใส นึกว่าผิวพรรณจะผุดผ่องสดใส ผิวหน้าฉันใด ผิวกายก็ฉันนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น ใครอยากสดสวยตลอดเวลา ก็อย่าริเป็นคนอิจฉาริษยาโกรธเคือง หรืออาฆาตพยาบาทคนอื่น ขอให้มีจิตเมตตากรุณา รักและปรารถนาดีต่อทุกคนด้วยใจบริสุทธิ์