จัตวา กลิ่นสุนทร : ย้อนเวลาเรียบเรียงความทรงจำ ยามย่ำแดนไกลในวัยหนุ่ม ตอนที่ 12

คณะเดินทางของเราโดยสารเครื่องภายในประเทศจากเมืองดิ มอยน์ (De Moines-Iowa) สู่มหานครนิวยอร์ก New York City (NYC) พักเที่ยวชมเมืองใหญ่ที่สุดของสหรัฐ สองวันสองคืนได้แค่เฉียดๆ เดินวนเวียนด้อมๆ มองๆ บริเวณ “กราวด์ซีโร่” (Ground Zero) ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของตึกแฝดเท่านั้น

ออกเดินทางต่อด้วยรถเช่าแวะพักค้างคืนรัฐคอนเนกทิคัต (Connecticut) จากนั้นจึงได้เข้าสู่บอสตัน (Boston-Massachusetts)

ต้องบอกเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยว่ารถเช่านั้นสามารถเช่าแล้วขับไปทั่วอเมริกา และต้องการค้างคืนที่เมืองไหนก็ได้ตามต้องการ

นับว่าเป็นบุญวาสนาได้รอนแรมย่างเหยียบมาถึงเมืองมหาวิทยาลัยสำคัญๆ ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐ ขณะเดียวกันผู้นำระดับเบอร์ 1 ของอเมริกาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยจากมลรัฐนี้ โดยเฉพาะฮาร์วาร์ด (Harvard University) ถึง 5 คน เช่น ประธานาธิบดี Theodore Roosevelt, John F. Kennedy, George W. Bush และ Barack Obama

อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard M. Nixon) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกถึงความสามารถที่สูงเด่น เป็นนักยุทธศาสตร์ที่อยู่ในเงามืด เป็นรัฐบุรุษของคนอเมริกัน อย่างเฮนรี่ คิสซินเจอร์ (Henry Alfred Kissinger) ท่านเป็นศิษย์เก่า ที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 1 จากฮาร์วาร์ด

 

บอกซ้ำอีกสักครั้งว่าเมืองบอสตัน (Boston) เป็นเมืองแห่งการศึกษา มีสถานศึกษาชั้นดีเกือบ 100 แห่ง นักศึกษาของสหรัฐและของต่างชาตินิยมไปเรียนยังเมืองนี้กันเป็นจำนวนมาก แน่นอนเหลือเกินว่าค่าใช้จ่ายค่าเล่าเรียนจะมีอัตราสูงมาก จนกระทั่งลูกชาวบ้านต่างชาติไม่มีปัญญาเข้าเรียนได้นอกจากจะเป็นนักเรียนทุนของรัฐบาล

สำหรับนักเรียนไทยที่เก่งๆ นอกจากได้ทุนจากรัฐบาลแล้ว ในระยะหลังๆ บ้านเมืองของเราเจริญก้าวหน้าขึ้น ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ครอบครัวซึ่งมีฐานะทางการเงินส่วนมากนิยมส่งลูกหลานไปเรียนยังบอสตัน (Boston-Massachusetts) โดยเฉพาะทางด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์นั้นล้วนเข้าศึกษาใน Massachusetts Institute Technology (MIT) ใครจบจากสถาบันแห่งนี้ถือว่ายอดเยี่ยม

ส่วนประชาชนผู้ยากไร้ประเภทเรียนเลวและยากจนไม่มีโอกาสได้คาดหวังแต่อย่างใด อย่าว่าแต่เรื่องการเรียนในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ได้ย่างเท้าก้าวเข้าสู่มหาวิยาลัยของรัฐในเมืองไทยตั้งแต่เก่าก่อนย่อมถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิต โดยเฉพาะกับการเดินทางสู่แผ่นดินใหญ่โตประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ซึ่งเพียงแค่แอบหวัง ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้เดินทางมาด้วยซ้ำ

เมื่อมีเครือญาติได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนจนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของรัฐนี้ แม้จะเป็นมหาวิทยาลัยของเอกชน แต่ก็เป็นมหาวิทยาลัยยอดนิยมที่ดีอีกแห่งหนึ่งอย่าง Boston University

ด้วยเหตุนี้จึงต้องดั้นด้นสู่เมืองดังกล่าวตามคำบอกกล่าวเชื้อเชิญทั้งๆ ที่ย่อมจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากพอสมควรทีเดียว ณ ขณะนั้นย่อมต้องปลื้มใจ ดีใจกับความสำเร็จของลูกหลานแม้จะเกี่ยวดองกันไม่มั่นคงเพราะความห่างไกลและแตกต่างด้วยนิสัยใจคอจึงไม่ค่อยจะมีสายสัมพันธ์อะไรต่อกันเท่าไรนัก

ซึ่งในที่สุดมันได้ขาดสะบั้นลงในเวลาต่อมากระทั่งปัจจุบัน สืบเนื่องมาจากความโลภมาก และคดในข้องอในกระดูกของผู้ให้กำเนิด

 

งานพิธีรับปริญญาผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่าย ญาติโยมซึ่งได้เคยกล่าวหลายครั้งแล้วว่าเป็นชาวลาวบ้านพี่เมืองน้องซึ่งอพยพหนีภัยเมื่อครั้งสงครามระหว่างฝ่ายซ้าย-ขวาในประเทศกระทั่งได้ไปพบกับคนไทยซึ่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปตกระกำลำบากในที่สุด แต่บังเอิญได้ชื่อว่าเป็นญาติกับหุ้นส่วนชีวิต ทุกวันนี้ได้ขายทรัพย์สมบัติซึ่งได้มาโดยชอบธรรมและฉ้อฉลอื่นๆ ไปหมดสิ้นแล้ว

เหลือเวลาอีก 1 วันสำหรับเที่ยวในเมืองบอสตัน มีผู้เสนอว่าได้ซื้อทัวร์สำหรับนั่งรถเที่ยวชมเมืองต่างๆ แม่น้ำลำคลองจึงรู้สึกเบื่อกับสิ่งเหล่านี้เต็มกำลัง ซึ่งในทุกหนทุกแห่งทุกเมืองได้ชมแต่อาคารบ้านเรือน คูคลองหนองบึง ยืนถ่ายรูป จึงขอเสนอไปชม “พิพิธภัณฑ์ศิลปะ”

ซึ่งมีหลายคนในกลุ่มเห็นดีเห็นงามด้วย เขาจึงได้เปลี่ยนจากการชมวิวไปชื่นชมงานศิลปะจากประวัติศาสตร์และศิลปะร่วมสมัยกันบ้าง

บอสตันนอกจากจะเป็นเมืองแห่งการศึกษา และประธานาธิบดีหลายท่านผ่านมหาวิทยาลัยจากเมืองหลวงของรัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) แห่งนี้แล้ว มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกอย่าง Bill Gates เจ้าของไมโครซอฟท์ (Microsoft) และ Mark Zuckerberg เจ้าของ Facebook ทั้ง 2 คนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) เมืองอันเก่าแก่มั่งคั่ง มีศิลปวัฒนธรรมแบบยุโรปเก่าด้วยเช่นเดียวกัน

ได้เข้าไปเยี่ยมชม Museum Of Fine Art Boston ซึ่งกว้างขวางใหญ่โตมาก เรียกได้ว่าใช้เวลาเท่าที่ได้กำหนดไว้เที่ยวเดินชมอย่างไรก็ไม่หมด จึงต้องมุ่งตรงไปห้องติดตั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรมสมัย Ipressionism ซึ่งผูกพันชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยที่เริ่มต้นเข้าศึกษาศิลปะกระทั่งปัจจุบัน

และดูเหมือนจะไม่ผิดหวัง เพราะได้พานพบงานของแวนโก๊ะห์ (Van Gogh) โดยไม่จำเป็นต้องไปถึงกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ กับศิลปินในยุคสมัยนั้นอีกจำนวนหลายท่าน จะว่าไปก็เป็นส่วนใหญ่ทีเดียว

ยิ่งกว่านั้นในห้องของศิลปะร่วมสมัยยังน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ถึงจะไม่ค่อยรู้จักงานของศิลปินสมัยใหม่นัก

บอสตันนอกจากจะเป็นเมืองที่ตั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของสหรัฐ ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองอันมีทิวทัศน์สวยงาม การจราจรคล่องตัวด้วยระบบการขนส่งทางราง สะอาด ปลอดภัย เมืองแห่งกีฬา แพทย์ นักวิจัยมีความสามารถจำนวนมากอาศัยอยู่

อาหารมื้อเย็นของเดือนมีนาคม ปี พ.ศ.2545 ผ่านเลยมาแล้วยาวนานถึง 16 ปี จำได้ว่าต้องเป็นเจ้าภาพเลี้ยงคณะผู้เดินทางทั้งๆ เป็นผู้รับเชิญ

ซึ่งคงหนีไม่พ้นอาหารจีนสไตล์อเมริกัน ซึ่งน่าจะถูกคอมากกว่าอย่างอื่นสำหรับคนจากกลุ่มประเทศเอเชีย แม้บางทีบางคนอาจเกิดในสหรัฐ แต่ไม่ได้มีนิสัยเรื่องการกินแบบฝรั่งนอกจากจะเสแสร้ง จะถือว่าเป็นอาหารมื้อท้ายๆ ก่อนจากกันอย่างถาวรในเวลาอีกไม่นานอาจจะไม่ผิดนัก

สำหรับที่พักในเมืองนี้ไม่ได้เป็นเรื่องหายากและยุ่งยากอะไร เป็นการเตรียมการโดยจองไว้ล่วงหน้าได้เพราะมีทั้งอพาร์ตเมนต์ โฮเต็ล และเบด แอนด์ เบรกฟาสต์ (Bed&Breakfast) เลือกเอาให้เหมาะสมกับจำนวนคนของคณะเรา

แต่ก็ยังเกิดความวุ่นวายโกลาหลเรื่องกำหนดการในทุกๆ วันสำหรับการเดินทางเป็นคณะ ซึ่งดูเหมือนจะแตกต่างกันด้วยวัฒนธรรม นิสัยใจคอพอสมควร ถ้าเป็นสมัยนี้ราคาค่าที่พักอาจจะถูกลงมาสักหน่อยกระมังสำหรับห้องเช่าที่เรียกแอร์ บีแอนด์บี (Air B&B)

 

เดินทางกลับจากเมืองแห่งการศึกษาโดยต้องมาเปลี่ยนเครื่องยังสนามบินนานาชาติชิคาโก โอแฮร์ (Chicago OHare International Airport) เป็นเครื่องเล็กจะได้ลงสนามบินในเมืองเล็กๆ อย่างดิมอยน์ได้ แต่ขณะนั้นการเดินทางโดยเครื่องบิน เวลาจะขึ้นเครื่องค่อนข้างจะเข้มงวดเป็นอย่างมากเพราะเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์การก่อวินาศกรรม “ตึกแฝด” อันเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐมาเพียง 1 ปี

ขณะเดียวกันอากาศในเดือนที่เดินทางแม้จะปลายๆ หนาวแต่มันยังคงหนาวสำหรับคนตะวันออก เพราะฉะนั้น จึงต้องใส่เสื้อ 2-3 ชั้นโดยมีแจ๊กเก็ต (Jacket) สวมทับด้านนอก มีผ้าพันคออีกต่างหาก ในขณะที่บ่าก็สะพายกระเป๋าอีกใบหนึ่ง มือยังหอบสัมภาระที่หุ้นส่วนชีวิตและคนในคณะซึ่งเป็นผู้หญิงซื้อหาติดมือมาแบบพะรุงพะรัง ปรากฏว่าไม่มีทางเล็ดลอดผ่านสายตาเจ้าหน้าที่ไปได้ จึงเหลือเป็นคนสุดท้ายซึ่งถูกตรวจแบบละเอียดยิบ

ต้องถอดเสื้อคลุม ถอดเข็มขัด ถอดรองเท้า ลองนึกภาพดูว่าหลังจากตรวจเสร็จแล้วโดยไม่พบอะไร แล้วต้องมาสวมใส่ คาดเข็มขัด เก็บข้าวของทั้งหมดทั้งมวลเหมือนแต่งตัวใหม่อีกครั้ง เป็นอันว่าทั้งเครื่องรอผู้โดยสารอยู่เพียงคนเดียว

กลับมาถึงบ้านที่พักเดินไปหากระจกเงา แอบส่องดูหลายมุม พิจารณาทีละน้อยๆ หน้าตาก็ไม่เหมือนชาวตะวันออกกลางลูกสมุน “โอซามา บิน ลาดิน” (Osama Bin Laden) สักหน่อย

เพียงเพราะเป็นชาวตะวันออก พูดภาษาอังกฤษตะกุกตะกักแบบนักเรียนบ้านนอกเท่านั้น