E-DUANG : ลูก “แคนนอน” จาก “อ้อน้อย” สะเทือน พรรคในเงา “คสช.”

เหมือนกับว่ากรณีของ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ จะส่งผลสะเทือน โดยตรงไปยังพรรคประชาชนปฏิรูปของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน

เนื่องจากมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นต่อกัน

เป็นสายสัมพันธ์ที่ร่วมในการเคลื่อนไหวภายใต้คำประกาศในการ “ปฏิรูปพระพุทธศาสนา”

เดินหน้าเข้าชน “ธรรมกาย”

แต่พลันที่สังคมได้ยินคำว่า “ขอโทษ” เปล่งออกมาจากทำเนียบรัฐบาล ประสานกับที่เปล่งออกมาจากกระทรวงกลาโหม ก็ต้องหูผึ่ง ผลสะเทือนน่าจะไปกว้างไกลมากยิ่งกว่าพรรคประชาชนปฏิรูปและ นายไพบูลย์ นิติตะวัน

โดยเฉพาะภาพก่อน “รัฐประหาร”

 

ในความรับรู้ที่ไม่ยาวนานประหนึ่งว่าบทบาทของ นายสุวิทย์ ทอง ประเสริฐ จะวางน้ำหนักอยู่กับก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

ไม่ใช่หรอก

ในความเป็นจริง นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ มีส่วนร่วมตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

แต่ก็อีหรอบเดียวกับ “พรรคประชาธิปัตย์”

นั่นก็คือ ไม่ได้เล่นบทเป็น “กองหน้า” ต่อเมื่อภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 นั้นหรอกที่ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ จึงเล่นเต็มพิกัด

เห็นได้จากบทบาทของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

เห็นได้จาก นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ ปักหลักในบทบาทที่เรียกขานตนเองว่า “ราชสีห์แห่งแจ้งวัฒนะ”

ผ่านการเสกปั้น”กรวยศักดิ์สิทธิ์” ขึ้น

มาถึงสถานการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2561 ทุกคนย่อมอ่านสถานการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2557 ได้แจ้ง แทงตลอด

ไม่มีใครสงสัยว่าทำไมต้อง “ขอโทษ”

 

ยิ่งกว่านั้น กล่าวสำหรับพรรคการเมืองในเครือข่ายจึงไม่เพียงแต่พรรคประชาชนปฏิรูปเท่านั้นที่ต้องสะดุ้ง พรรคพลังประชารัฐก็ต้องหวั่นไหว

ยิ่งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ยิ่งทำให้ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องคิดหนัก

จะ “เดินหน้า” หรือ “ถอยดีกว่า”