‘พรรคอนาคตใหม่’ฟอร์มทีมลุยเปลี่ยนโฉมการเมืองไทย “ธนาธร” ขึ้นหน.พรรค-ปิยบุตร นั่งเลขาฯ

วันที่ 27 พฤษภาคม 2561 นับว่าเป็นวันที่มีสีสันที่สุดของพรรคการเมืองหน้าใหม่อย่างพรรคอนาคตใหม่ ที่หลังจากจดชื่อพรรคกับคณะกรรมการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา จนได้รับรองจดชื่อตั้งพรรค ทำให้วันนี้เป็นครั้งแรกที่มีการประชุมพรรคอย่างเป็นทางการในการเลือกกรรมการบริหารพรรค นโยบาย อุดมการณ์พรรค และการปราศรัยครั้งแรกของพรรคอนาคตใหม่ต่อสมาชิกพรรคชุดแรกและประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ร่วมสังเกตการณ์บรรยากาศการเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่รับการเลือกตั้งตามแผนโรดแมปของ คสช. ที่ล่าสุดประกาศว่าจะไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562

โดยบรรยากาศในช่วงเช้าที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่ได้จัดประชุมกับสมาชิกชุดแรก 474 คน เพื่อทำการลงคะแนนเสียงเลือกบุคคลเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค โดยผลการคะแนนเสียงออกมาว่า

1.ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตผุ้บริหารไทยซัมมิท เป็นหัวหน้าพรรค
2.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ นักวิชาการด้านการศึกษา เป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1
3.ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 2
4.พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 3
5.รณวิต หล่อเลิศสุนทร เป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 4
6.ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตนักวิชาการนิติศาสตร์ เป็นเลขาธิการพรรค
7.นิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์ เป็น เหรัญญิกพรรค
8.ไกลก้อง ไวทยาการ เป็นนายทะเบียนสมาชิกพรรค
9.พรรณิการ์ วานิช อดีตผู้ประกาศข่าวและผู้ดำเนินรายการช่องวอยซ์ทีวี เป็นโฆษกพรรค

ส่วนตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคสายภูมิภาค ที่ประชุมได้เสนอชื่อ และลงมติ ผลออกมาว่า
1.สุรชัย ศรีสารคาม อดีตข้าราชการผู้กำเนิดระบบทะเบียนราษฎร์เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เป็นกรรมการบริหารพรรคภาคกลาง
2.เยาวลักษณ์ ภักดีประภา เป็นกรรมการบริหารพรรคภาคเหนือ
3.ชัน ภักดีศรี เป็นกรรมการบริหารพรรคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
4.เจนวิทย์ ไกรสินธุ์ เป็นกรรมการบริหารพรรคภาคใต้

ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ที่ที่ประชุมได้เสนอชื่อและให้ความเห็นชอบ ประกอบด้วย
1.สุนทร บุญยอด เป็นกรรมการบริหารพรรคสายเครือข่ายผู้ใช้แรงงาน
2.วิภาพรรณ วงษ์สว่าง เป็นกรรมการบริหารพรรคสายเครือข่ายเยาวชน-คนรุ่นใหม่
3.จารุวรรณ ศรัณย์เกตุ และ นิรามาน สุไลมาน เป็นกรรมการบริหารพรรคโดยการเลือกในที่ประชุมใหญ่ ซึ่งที่ประชุมได้เลือกโดยคำนึงถึงความเท่าเทียมทางเพศสภาพและเพศวิถี

ตลอดการประชุมในช่วงเช้า ยังมีประชาชนทยอยเดินทางเข้ามาร่วมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วงบ่าย พรรคอนาคตใหม่จะมีการประกาศอุดมการณ์ แนวทางการทำพรรค แนะนำกรรมการบริหารพรรค รวมถึงให้หัวหน้าพรรคได้แสดงวิสัยทัศน์ ทั้งนี้ พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรอำเภอคลองหลวงเข้ามาดูแลความปลอดภัยบริเวณสถานที่จัดประชุม ซึ่งทางพรรคฯได้จัดโซนที่นั่งสำหรับผู้สังเกตการณ์และเจ้าหน้าที่รัฐไว้รองรับด้วย

เข้าสู่ช่วงบ่าย เวลา 13.30 น. งานประชุมพรรคได้เปิดให้ประชาชนที่นอกจากสมาชิกพรรคได้ชมนิทรรศการ 4 ปี ที่สูญหาย และเข้าสู่การปราศรัยครั้งแรกของพรรคอนาคตใหม่ โดย นายปิยบุตร ว่าที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้กล่าวถึงอุดมการณ์พรรคตอนหนึ่งว่า เวลาคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลง แต่ประเทศที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและเกิดรัฐประหาร ผู้คนไร้ความหวังดูเหมือนไม่มีทางออก ประเทศแบบนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ซึ่งสิ่งที่เหลืออยู่คือความมุ่งมั่นตั้งใจเปลี่ยนแปลง เห็นว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย พรรคอนาคตใหม่จึงได้ขัดตั้งขึ้น โดยมีหลัก 3 ประการคือ มุ่งมั่นทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ นำเสนอนโยบายที่ก้าวหน้า และการกระจายอำนาจ ลดความเหลื่อมล้ำเคารพสิทธิมนุษยชน ที่เน้นหลักรัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือทหาร ซึ่งนโยบายของพรรคฯจะเกิดจากการวิเคราะห์ทางวิชาการ ลงพื้นที่พบปะประชาชน โดยมองพรรคคู่แข่งไม่ใช่ศัตรูทางการเมือง แต่มองเป็นคู่แข่งทางการเมืองเพื่อทำความดีเอาชนะใจประชาชน

นายปิยบุตร กล่าวว่า นอกจากนี้จะต้องขีดเส้นแบ่งการเมืองแบบเก่าและแบบใหม่ หากกลุ่มหรือพรรคใดใช้อำนาจ เงินดูด ส.ส. ใช้เงินซื้อเสียง ไม่สร้างสรรค์ ตลอดจนกล่าวหาสาดโคลนใส่กัน มองแต่อำนาจและตำแหน่งไม่คำนึงถึงอุดมการณ์ ทั้งหมดคือการเมืองแบบเก่า ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่าไม่ทำงานการเมืองแบบเก่า แต่สุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ ทั้งนี้ พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคที่ไม่มีกลุ่มหรือบุคคลใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ แต่สมาชิกพรรคทุกคนจะเป็นเจ้าของร่วมกัน ขณะเดียวกันพรรคจะไม่ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกน้อง หรือผู้ให้กับผู้รับ แต่มองสมาชิกพรรคทั้งหมดเป็นหุ้นส่วนกันและมีสิทธิตัดสินใจร่วมกันมีสมาชิกพรรคในทุกจังหวัด

ว่าที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่มุ่งทำการเมืองระยะยาว ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นเพื่อลงเลือกตั้งเป็นครั้งคราว ซึ่งการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย และยืนยันว่าพรรคฯ จะทำงานทางการเมืองทั้งฤดูเลือกตั้งและไม่ใช่ฤดูเลือกตั้ง โดยหวังให้มีอำนาจในสภาเพื่อผลักดันนโยบายของพรรคฯ เพื่อลงไปสู่ประชาชน

ด้านนายธนาธร ว่าที่หัวหน้าพรรค กล่าวว่า ขอบคุณทุกคนและทุกกำลังใจที่มีส่วนร่วมในการสร้างงานวันนี้ การที่ตนเองได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่รู้สึกเป็นเกียรติ และถือเป็นความภูมิใจในชีวิต ซึ่งส่วนตัวขอสัญญากับทุกคน ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรสิ่งสุดท้ายที่จะทำคือทรยศต่ออุดมการณ์ของตนเอง ทั้งนี้พรรคอนาคตใหม่ได้พูดในสิ่งที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนสังคมไม่พร้อมจะรับฟัง เช่น การไม่เอารัฐธรรมนูญปี 2560 การไม่เอาอำนาจทหาร แต่ขณะนี้ทั้งหมดกลายเป็นความต้องการของทุกคนที่แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยังต้องการการเปลี่ยนแปลง โดยทำให้การเมืองเป็นเรื่องปกติสร้างสรรค์ และทำให้การปฏิวัติสังคมเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิต

นายธนาธร กล่าวว่า ประชาชนเบื่อการเมืองที่เอื้อให้กับคนกลุ่มน้อย และมีการตั้งคำถามจากประชาชนว่าเมื่อไหร่ประเทศจะดีขึ้น แต่ไม่เคยมีคำตอบต่อคำถามดังกล่าว แต่ส่วนตัวตอบได้ว่า โครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองนั้น ออกแบบมาเพื่อคนเพียงกลุ่มเดียว ที่ดำเนินการให้ประเทศไม่เกิดความก้าวหน้าและความเปลี่ยนแปลง และไม่ต้องการให้ทำลายเศรษฐกิจการเมืองที่คนบางกลุ่มได้ประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว ขณะเดียวกัน ทุกคนคือคนส่วนใหญ่ที่เสียสละให้คนส่วนน้อย ซึ่งคนส่วนใหญ่เหมือนนักโทษที่ถูกจองจำ โดยมีสิทธิเดียวคือการเลือกผู้คุม ดังนั้นถึงเวลาที่ต้องบอกว่าพอกันทีกับการเมืองที่เอื้อให้กับคนส่วนน้อย เพราะทุกคนต้องการการเมืองแห่งความหวัง จึงขอให้ทุกคนร่วมขยับประเทศไทย เพื่อให้มีสิทธิที่พึงมีกลับคืนมาโดยไม่ต้องรอใคร หากความหวังของทุกคนเป็นความหวังเดียวกันกับตนเอง ขอให้ร่วมกันสร้างพรรคนี้ให้เป็นพรรคของทุกคน หยุดกลัวและยืนอย่างกล้าหาญ เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เป็นธรรม โดยร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่เพื่อส่งต่อสังคมให้ลูกหลานเพื่ออนาคตใหม่ที่อำนาจเป็นของประชาชน

สำหรับบรรยากาศในการจัดการประชุมฯ มีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมสังเกตการณ์ในการประชุมครั้งนี้ ตลอดจนมีสมาชิกพรรคขึ้นปราศรัยบนเวทีโจมตีการบริหารงานของรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา รวมถึงได้มีการแสดงวิสัยทัศน์ในด้านต่างๆ ของพรรคอนาคตใหม่ อาทิ นายสุนทร บุญยอด กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่สายเครือข่ายผู้ใช้แรงงาน นายธนายุทธ ณ อยุธยา หรือ บุ๊ค แร็ปเปอร์หนุ่มจากชุมชนร่มเกล้าคลองเตยบ้าน สนใจทำเพลงแร็ปที่มีเกี่ยวกับสังคมและการดำเนินชีวิต ซึ่งทางพรรคอนาคตใหม่ได้เห็นความสามารถ จึงได้เชิญชวนมาร่วมงานประชุมพรรคและโชว์บทเพลง พร้อมกันนี้ได้โชว์ตัวว่าที่กรรมการบริหารพรรค และเปิดไฟฉายแสดงถึงการส่องไฟไปสู่อนาคตใหม่ด้วยกัน

ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการปราศรัยต่อประชาชน นายธนาธร นายปิยบุตรและน.ส.พรรณิการ์ ได้นัดพบกับสื่อมวลชนเพื่อตอบประเด็นคำถามที่สนใจ โดย นายธนาธร กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคอนาคตใหม่ว่า ต้องเสนอหัวหน้าพรรค ส่วนจะต่อสู้กับกระแสของพรรคการเมืองที่หนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไปอย่างไรนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะตั้งแต่เห็นรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้ที่ คสช. จะพยายามสืบทอดอำนาจของตัวเองต้องมาถึง จึงได้ชักชวนประชาชนและสื่อมวลชนทุกคนที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เราจะยอมอยู่ภายใต้เผด็จการอย่างนี้ไปนานเท่าไหร่ ตนขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมภารกิจนี้ให้สำเร็จ ภารกิจที่จะหยุดอำนาจคสช. หยุดการสืบทอดเผด็จการ

เมื่อถามว่า หากเป็นฝ่ายค้านจะล้างอำนาจของ คสช. อย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะความคิดหลักของพรรค อนค.การทำงานทางความคิด หากไม่มีในส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ไม่มีความหมาย การแพ้ชนะอยู่ที่การทำงานทางความคิด เราต้องดึงจิตวิญญาณของรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับคืนมา มาช่วยกันทำให้ได้ เมื่อถามว่า จะมีแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า “ไม่มีการแก้ไข แก้ไขไม่ได้ ฉีกเลย ล้ม” ขณะที่นายปิยบุตรกล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 หากเราไม่โกหกตัวเอง บอกได้เลยว่าการแก้ไขทำได้ยากมาก คือการเขียนให้แก้โดยไม่ให้แก้ เพราะมีสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) 250 คนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จัดตั้งเอาไว้ ให้การแก้ไขแต่ละครั้งต้องใช้เสียงของ ส.ว. ใช้เสียงของพรรคฝ่ายค้าน และอาจจะเจอกับศาลรัฐธรรมนูญอีก แต่ถ้าเราเห็นว่าแก้ยากแล้วไม่ทำอะไรเลย งอมืองอเท้าแบบเดิมก็เท่ากับรัฐธรรมนูญ 2560 จะอยู่กับเราชั่วกัลปาวสาน การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ต่อให้เราเป็นเสียงข้างมาก สามร้อยกว่าเสียง ต่อให้เรามีเสียงข้างน้อยยี่สิบเสียง เชื่อเถอะว่าไม่มีทางที่จะแก้ไขได้สำเร็จในตอนแรก พรรคต้องการยกระดับความคิด รวมพลังทุกพรรคการเมือง ตกลงกันเพื่อเปิดทางแก้รัฐธรรมนูญฉบับเพื่อเปิดทางสู่การทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เหมือนตอนที่เราทำรัฐธรรมนูญปี 40 การจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จจะต้องมีการรณรงค์ คะแนนเสียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องรณรงค์ให้เกิดฉันทามติจากคนทั้งประเทศว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ไปต่อไม่ได้ ต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง

“ ถ้าเรามีโอกาสเข้าสภาเมื่อไร วันแรกที่มีโอกาสจะเสนอเรื่องแก้รัฐธรรมนูญทันที มีโอกาสเมื่อไรทำเมื่อนั้น ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่สำเร็จก็จะทำ เพื่อให้สังคมเห็นว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นทางตัน โดยยกเลิกมาตราเดียวที่ง่ายที่สุด คือ มาตรา 259 ซึ่งเป็นมาตราที่ให้ความคุ้มกันประกาศต่างๆของคสช.ทั้งหมดให้ถูกต้องเสมอ ซึ่งผลของมาตรานี้ทำให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ คือชุดประกาศคำสั่งของ คสช.ที่ถูกเสมอ และรัฐธรรมนูญปี 2560 ผมถามว่าบ้านเมืองจะอยู่กันแบบนี้หรือ นี่ไม่ใช่เรื่องรุนแรง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นการฟื้นกลับมาสู่ระบบนิติรัฐ ระบบที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และอีกเรื่องถ้าจำกันได้คือ การแก้รัฐธรรมนูญปี 2534 ให้เป็น 2540 ก็มีการแก้แค่ 1 มาตรา เพื่อที่จะบอกว่า จะทำรัฐธรรมนูญใหม่เข้ามาแทนที่ ประเทศนี้ีทำรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยวิธีเอารถถังออกมายึดอำนาจ แล้วถ้าผู้แทนประชาชนและประชาชนทั้งประเทศยืนยันว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันจะแก้ไม่ได้หรือ” นายปิยบุตรกล่าว

เมื่อถามว่า ก่อนจะมีการปลดล็อกพรรคการเมือง ได้มีการเสนอให้มีพรรคขนาดกลางมาเป็นโซ่ข้อกลาง เพื่อสร้างบรรยากาศการเลือกตั้ง พรรคอนาคตใหม่จะเสนอตัวหรือไม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า เป็นเรื่องของสังคมในการตัดสิน .ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่ได้มองว่าเป็นโซ่ข้อกลางแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ และยืนยันว่าทางพรรคจะปักธงในการเดินทางไปข้างหน้าว่า ประกาศและคำสั่งของ คสช.จะอยู่แบบนี้ไม่ได้ การยึดอำนาจเข้ามาผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ข้อหากบฏ แล้วก็นิรโทษกรรมตัวเอง การออกคำสั่งมาเพื่อใช้จับกุมคุมขังคนอื่นเต็มไปหมด ตนขอถามสื่อมวลชนว่าทนอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร คำสั่ง คสช.จำนวนมากจำกัดเสรีภาพสื่อ ซึ่งการปลดล็อกคำสั่ง คสช.นั้นเพื่อให้พรรคสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เป็นสิ่งที่เราเคยเรียกร้องมาแล้วว่าระหว่างที่ คสช.ยังไม่ไป ต้องยกเลิกคำสั่ง คสช.ทั้งหมดที่เป็นอุปสรรคต่อการรณรงค์ทางการเมืองและอุปสรรคในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนทั้งหมด เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ให้มีการแสดงความคิดเห็น ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการเลือกตั้งปลอมๆ

เมื่อถามว่า จากที่เคยมีการประกาศหาแนวร่วมหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. จะทำอย่างไรให้คนเข้าร่วม นายธนาธรกล่าวว่า ก็ทำในสิ่งที่ทำอยู่ คือไปพบปะประชาชนและเผยแพร่อุดมการณ์ให้ประชาชนได้เห็น เข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด ส่วนเรื่องปัญหาเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นเรื่องนโยบายนั้น ขอให้รอฟังในเดือนกรกฎาคมหรือภายหลังมีการปลดล็อกพรรคการเมืองตามที่ คสช.ได้ยืนยันมาก่อนหน้านี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเลือกตั้งเลื่อนมาแล้ว 3-4 ครั้ง มั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่ถูกเลื่อนออกไปอีก และทุกพรรคจะร่วมกันทำฉันทานุมัติกับคสช.ให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีนี้หรือปีหน้าหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า เราต้องการเลือกตั้งอยู่แล้ว เพราะทุกวันที่เสียไปคือหายนะของประเทศไทย ดังนั้น ยิ่งเลือกตั้งเร็วยิ่งดี แต่ปัญหาคือ คนที่จะไปทำข้อตกลงไม่ใช่เรา แต่อยู่ที่ คสช. ซึ่งเราเรียกร้องมาตลอดว่าการเลือกตั้งที่เป็นธรรมและโปร่งใส จะต้องเกิดขึ้น และเราเรียกร้องมาตลอดเรื่องการหยุดอำนาจ คสช. ส่วนที่มีการชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้ง แต่ คสช.ก็แจ้งข้อหาต่อกลุ่มคนเหล่านี้ ทางพรรคเคยพูดไปแล้วว่าเมื่อมีอำนาจทางการเมือง เราจะนิรโทษกรรมคนที่โดนคดีทางการเมืองในยุค คสช.ทั้งหมด เพราะเราเห็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีความใฝ่ฝัน เป็นประชาชนที่แสดงออกถึงสิทธิเสรีภาพของตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องที่ได้รับการรับรองในฐานะพลเมือง ขณะที่นายปิยบุตรกล่าวว่า มีการใช้ประกาศคสช.จำนวนมากสั่งให้บุคคลเหล่านี้มารายงานตัว ห้ามการชุมนุมเกิน 5 คน ห้ามเดินทางไปต่างประเทศ เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน และเมื่อมีการออกเสียงประชามติก็ไปจับคนที่รณรงค์โหวตโน แต่กลับให้คนที่รณรงค์โหวตเยสพูดได้ และนำกฎหมายคอมพิวเตอร์เข้ามา ซึ่งรัฐบาลทหารเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธ ซึ่งในความเป็นจริง มันคือปืนที่เอากฎหมายไปห่อหุ้ม

เมื่อถามว่า พรรคอนาคตใหม่เดินสายหาเสียงทางการเมืองและจัดรายการทุกวันศุกร์ โดยพูดถึงเรื่องนโยบาย เกรงจะเข้าข่ายการหาเสียงล่วงหน้าและเกรงจะถูกยุบพรรคหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า ถ้าเรากลัว เรายังติดกับดัก ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย สังคมที่ติดอยู่ทุกวันนี้เพราะเรากลัว เลิกกลัวได้แล้ว ถ้าคุณยืนขึ้น 1 คน 10 คน คุณจะกลัวเขา แต่เมื่อไรก็ตามที่เรายืนขึ้นหมื่นคน คสช.จะต้องกลัวประชาชน เราต้องดึงการเมืองไทยให้กลับมาเป็นปกติ

นายปิยบุตรกล่าวถึงการประเมินอนาคตของพรรคจนถึงวันเลือกตั้งไว้ว่า ในวันนี้พรรคยังเป็นพรรคที่ไม่สมบูรณ์ ต้องรอเดือนสิงหาคม ซึ่งตนขอให้ไปดูกฎหมายการตั้งพรรคให้ชัดเจนว่าการตั้งพรรคหรือไม่ให้ตั้งพรรคไม่ได้เกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายคสช. แต่จะดูว่าข้อบังคับพรรคสอดคล้องกับที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ จะดูว่ากรรมการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เพราะในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 จะไม่มีการเขียนเจาะจง ซึ่งตนขอถามว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือไม่ที่จะมีการเลือกตั้งในปีหน้า แต่ไม่ให้พรรคการเมืองไหนทำกิจกรรมเลย ยกเว้น พล.อ.ประยุทธ์ ไปได้ทุกจังหวัด แล้วการเลือกตั้งอย่างนี้จะสมบูรณ์ ถามว่าผิดกฎหมายไหม ตนมองว่าไม่ผิดกฎหมายอะไรทั้งสิ้น นี่คือเรื่องปกติที่การเลือกตั้งกำลังจะกลับมาเข้าสู่ระบบ แล้วจะมีสิทธิมาห้ามคนไม่ให้ทำกิจกรรมทางการเมือง เมื่อพรรคทำกิจกรรมแบบนี้คนก็หาว่าล้ำเส้นหรือไม่ แต่ถ้าทุกพรรคทำแบบเดียวกัน เส้นนี้ก็จะหายไปเอง

เมื่อถามถึงกรณีที่ในเดือนมิถุนายน คสช.จะเชิญพรรคการเมืองไปหารือเพื่อพูดคุยถึงการปลดล็อคและการเลือกตั้ง พรรคอนาคตใหม่จะไปร่วมหรือไม่ และถ้าไปจะเสนออะไร นายธนาธรกล่าวว่า “ต้องดูเงื่อนไข ถ้า คสช.ไลฟ์สด ผมก็จะไป ให้ประชาชนได้เห็นว่าคุยอะไรกัน ผมไม่มีอะไรต้องกลัว ผมพร้อมไป โดยจะไปเสนอให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ยิ่งช้ายิ่งอันตรายต่อ คสช. และยิ่งช้ายิ่งอันตรายต่อประเทศ วันนี้ ทุกเข็มวินาทีที่เดิน ประเทศยิ่งพังลงไป” เมื่อถามว่า การเดินทางไปเข้าร่วมจะเป็นการมัดมือชกว่าพรรคอนาคตใหม่เห็นด้วยกับ คสช. นายธนาธรกล่าวว่า ไม่เป็นไร ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินจากการไลฟ์สด

เมื่อถามว่า การเข้ามาของ คสช.ตั้งแต่แรก เป็นการปูภาพว่าการเมืองแบบพรรคการเมืองไม่ดี แต่การเมืองแบบทหารเป็นสิ่งที่มีความมั่นคง จน 4 ปีผ่านไป พลวัตลดลง ไม่ได้มีการตื่นตัวมากขึ้น พรรคจะทำอย่างไรให้ทัศนคติของคนฟื้นกลับมา นายธนาธร กล่าวว่า ทำอย่างที่เราทำอยู่ สิ่งที่เห็นคือการเดินทางของพรรคในช่วง 2 เดือนกว่า แต่เรายังเหลือเวลาอีก 9 เดือนในการเดิน และเราเชื่อว่าประชาชนทุกคนรู้และเข้าใจ กำลังเฝ้ารอการเลือกตั้งที่จะมาถึง เพื่อจะใช้อาวุธที่มีพลังมากที่สุดนั่นคือเสียงของเขาในการลงโทษ คสช. ดังนั้น เราจะดึงการมีส่วนร่วมของประชาชนและคืนความเป็นปกติให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้โดดเดี่ยว อย่างน้อยมีพวกเรานำอยู่ เป็นการจัดการอนาคตเพื่อให้ต่อไปจะได้ไม่มีใครทำแบบนี้อีก

เมื่อถามว่า คิดว่าความนิยมของ คสช. ในขณะนี้กำลังขึ้นหรือลง นายธนาธรกล่าวว่า ทุกคนก็เห็นชัดเจน ไม่มีทางที่คะแนนความนิยมจะกลับหัวขึ้นมาได้เลย มีแต่ดิ่งลง และนี่คือช่วงเวลาที่ควรคืนอำนาจให้ประชาชนได้ตัดสินใจแล้ว และโพลในเพจขอล้านไลค์สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ คือคำตอบ

เมื่อถามถึงทิศทางการระดมทุนของพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธรกล่าวว่า เราจะระดมทุนจากสาธารณะให้ได้อย่างน้อยที่สุด 350 ล้านบาท โดยจะระดมทุนอย่างโปร่งใส จึงอยากขอให้ส่งข่าวไปถึงประชาชนว่าเราจะทำการเมืองที่สำแดงเงินที่มาของพรรคทุกบาท ให้ประชาชนเห็นว่าพรรคการเมืองแบบนี้ก็มีได้ ทุกพรรคต้องทำตามหมด เพื่อยกระดับมาตรฐานพรรคการเมืองไทย

ผู้สื่อข่าวถามว่าในการชวนสื่อเข้ามาร่วมขับเคลื่อน คิดว่ามีบริบทใดในขณะนี้ที่สื่อทำหน้าที่ไม่เหมาะสม นายธนาธรกล่าวว่า อาชีพสื่อมีความสำคัญต่อประชาธิปไตย ไม่ว่าจะสังคมไหนในโลก แล้วถ้าสื่อไม่กล้ายืนยันในสิทธิและศักดิ์ศรีของวิชาชีพของตัวเอง ประชาธิปไตยไทยก็จะพังจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น จึงขอเชิญชวนสื่อหันหลับมาดูรากเหง้า