ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 มีนาคม - 5 เมษายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | คนของโลก |
เผยแพร่ |
“ยูริ กาการิน” ชาวรัสเซีย เป็นที่รู้จักภายในชั่วข้ามคืน หลังเขาเดินทางขึ้นไปในอวกาศได้สำเร็จในวันที่ 12 เม.ย. 1961 ทำให้นักบินชาวโซเวียตผู้นี้ถูกจารึกว่าเป็นนักบินอวกาศคนแรกของโลก
เขาเสียชีวิตในเหตุการณ์เครื่องบินตกลึกลับเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว เพียงแค่ 7 ปีหลังประสบความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ที่นับเป็นการปฏิวัติการโฆษณาชวนเชื่อในยุคโซเวียต
การขึ้นไปยังอวกาศช่วงสั้นๆ เป็นเวลา 108 นาทีซึ่งทำได้สำเร็จก่อนความพยายามของสหรัฐเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของรัสเซียแม้กระทั่งหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991
กาการินเกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1934 ในหมู่บ้านชนบทห่างไกลคลูชิโน ห่างจากกรุงมอสโกไปทางตะวันตกราว 200 กิโลเมตร โดยพ่อแม่ของเขาทำงานในฟาร์มสังคมนิยมแบบร่วมมือสไตล์โซเวียต
การเรียนของเขาต้องหยุดชะงักจากการบุกรุกของนาซีเมื่อปี 1941 บ้านของครอบครัวถูกทางการยึดไปและบีบบังคับให้พวกเขาต้องย้ายไปอยู่ในกระท่อมที่สร้างจากโคลน
จากความหลงใหลคลั่งไคล้ในเครื่องบินตั้งแต่เด็กทำให้กาการินสมัครเข้าร่วมสโมสรนักบินตั้งแต่อายุ 20 ปี และภายหลังได้รับการฝึกฝนเป็นนักบินขับไล่ของกองทัพ
ในฐานะของสมาชิกกองทัพอากาศโซเวียต เมื่อปี 1959 กาการินเสนอตัวเป็นอาสาสมัครร่วมกับนักบินอีก 19 คนเข้าฝึกบินในโครงการที่เรียกว่าเป็น “ระบบการบินรูปแบบใหม่” นักบินกลุ่มนี้ถูกคัดออกจนเหลือ 6 คน รวมถึงกาการินด้วย
ในเดือนเมษายน 1961 เขาได้รับการเลือกให้ปฏิบัติภารกิจเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ขึ้นบินในอวกาศ โดยมีการประกาศเรื่องนี้ก่อนหน้าการบินเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
ถึงตอนนั้น กาการินอายุ 27 ปีและแต่งงานกับนางพยาบาล โดยทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 2 คน
ในวันที่ 12 เมษายน 1961 เวลา 09.07 น. ตามเวลาท้องถิ่นของของกรุงมอสโก กาการินอุทานคำพูดอันโด่งดังออกมา “โปเยคาลี” ที่แปลว่า “ไปกันเถอะ” ในขณะที่ยานอวกาศของเขาถูกยิงออกจากฐานและส่งเขาขึ้นไปในวงโคจร
ในเวลา 09.12 น. เขาพูดผ่านวิทยุว่า “ผมเห็นโลกแล้ว มันมหัศจรรย์มาก”
หลังเที่ยวบินที่กินเวลา 108 นาที กาการินกลับสู่โลกด้วยการกระโดดร่ม นับเป็นมนุษย์คนแรกที่เดินทางผ่านเขตแดนของโลกออกไปยังอวกาศ
2 วันต่อมา เขาได้รับการต้อนรับอย่างวีรบุรุษในกรุงมอสโก ผู้คนหลายพันออกมายังท้องถนนเพื่อมอบดอกไม้ให้เขา โดยเขาได้รับการเฉลิมฉลองด้วยการนั่งรถเปิดประทุนไปยังสถานที่ต่างๆ
รัฐบาลโซเวียตส่งวีรบุรุษอวกาศของพวกเขาไปใน “ปฏิบัติการสันติภาพ” ตามสถานที่ต่างๆ และเขาได้พบปะกับผู้นำโลกจำนวนมากตั้งแต่ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ไปจนถึงประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตร ของคิวบา
เขากลายเป็นสัญลักษณ์ที่มีคุณค่ามากเกินกว่าที่จะเสี่ยงในปฏิบัติการอันตรายใดๆ ก็ตาม ทำให้อาชีพในการเป็นนักบินอวกาศของเขาต้องหยุดชะงักลง
ภาพจากโทรทัศน์ในช่วงไม่กี่ปีหลังจากเที่ยวบินอวกาศของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาน้ำหนักขึ้น และดูเหมือนจะไม่อยู่ในสภาพที่สามารถขับเครื่องบินได้
นายพลนิโคไล คามานิน ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกนักบินอวกาศของโซเวียตในเวลานั้น เขียนในไดอารี่ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1995 ว่า กาการินใช้เวลาไปมากในการรับแขก
“ทุกๆ คนอยากดื่มกับกาการิน “เพื่อสานสัมพันธ์” “เพื่อความรัก” และเพื่อเหตุผลอื่นๆ และดื่มจนหมดแก้ว” เขาบอก
กาการินต้องขอให้ทางการยกเลิกคำสั่งห้ามบิน และในปี 1968 เขาได้รับอนุญาตให้กลับมาบินได้ในที่สุด โดยได้รับการฝึกในฐานะนักบินขับเครื่องบินเจ็ตอีกครั้ง
ในการฝึกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 1968 เครื่องบินขับไล่มิกของเขาหมุนขณะบินด้วยความเร็วสูงและตกกระแทกพื้น
กาการิน เสียชีวิตด้วยวัย 34 ปี เหตุการณ์แวดล้อมยังคงไม่แน่ชัด และอุบัติเหตุดังกล่าวถูกปกปิดเป็นเวลาหลายวัน
และหลังจากนั้นราว 16 เดือน สหัฐอเมริกาก็ ก้าวนำสหภาพโซเวียตไปอีกก้าว ด้วยการส่งมนุษย์ขึ้นเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ
การสอบสวนเรื่องดังกล่าวกลายเป็นความลับทางราชการ ส่งผลให้เกิดมีทฤษฎีสมคบคิดออกมาเป็นจำนวนมาก
เอกสารที่ถูกปลดจากชั้นความลับ 50 ปีต่อมาระบุว่าสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้คือ การหักหลบอย่างฉับพลัน เพื่อหลีกเลี่ยงบอลลูนตรวจอากาศ และทำให้กาการินและนักบินอีกคนสูญเสียการควบคุม อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคำถามอยู่ เอกสารจากการสอบสวนทั้ง 29 ชุดไม่เคยถูกตีพิมพ์แบบเต็มฉบับ
ผู้คนหลายพันเข้าร่วมงานรัฐพิธีศพของกาการินที่จัดขึ้น 3 วันหลังเครื่องบินตก
ทว่า สถานะของผู้บุกเบิกการสำรวจอวกาศผู้นี้กลายเป็นอมตะ โดยมีชีวิตอยู่ในอนุสาวรีย์ ภาพถ่ายและภาพยนตร์ เช่นเดียวกับอาคารและสถานที่ต่างๆ ที่ตั้งตามชื่อของเขาเพื่อเป็นเกียรติ ซึ่งรวมถึงฐานปล่อยยานที่สถานีอวกาศไบโคนูร์ คอสโมโดรมในคาซัคสถานและหลุมบนดวงจันทร์
แม้ว่าการเสียชีวิตของเขายังเป็นปริศนาถึงจะผ่านมา 50 ปีแล้วก็ตามที